“เสียงกระซิบจากแม่น้ำ” และ “ปีศาจ”
ละครสองเรื่อง-สองรสของพระจันทร์เสี้ยวในคอนเสริ์ต “คำขานรับ” มด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ “ฉันรักประชาชน”
ละครสองเรื่อง-สองรสของพระจันทร์เสี้ยวในคอนเสริ์ต “คำขานรับ” มด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ “ฉันรักประชาชน”
พระจันทร์เสี้ยวการละครขานรับ “คำขานรับ” ซึ่งจะเป็นคอนเสริ์ตที่รวมใจรวมกำลังของ 9 คนดนตรี 6 ละครเวที 5 กวีซีไรต์ และ 3 พจานาลัย ครั้งนี้นับเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของกลุ่มศิลปินเพื่อชีวิต รวมทั้งกลุ่มละครเวทีที่ทำงานด้านประเด้นและสะท้อนเรื่องราวของสังคม ไม่ว่าจะเป็นพระจันทร์เสี้ยวการละคร กลุ่มละครมะขามป้อม กลุ่มละครแปดคูณแปด และ กลุ่มบีฟลอร์
พระจันทร์เสี้ยวจะนำการแสดงสองชิ้น คือ “เสียงกระซิบจากแม่น้ำ” และ “ปีศาจ” บทประพันธ์ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ เราหวังว่าละครทั้งสองเรื่องจะช่วยให้ภาพการเคลื่อนไหวที่สะท้อนบางช่วงชีวิตของการทำงานที่อุทิศเพื่อประชาชนของพี่มดซึ่งมีมากมาย
“เสียงกระซิบจากแม่น้ำ” เป็นการแสดงโดยการใช้การเคลื่อนไหวร่างกายบอกเล่าเรื่องราวของคนกับสายน้ำที่ไหลเชื่อมร้อยเป็นหนึ่งเดียว สายน้ำหล่อเลี้ยงผู้คน จนถึงวันหนึ่งที่ความเจริญและการพัฒนาเริ่มทำให้คนเปลี่ยนแปลงสายน้ำ เก็บ กัก กั้น สร้างเขื่อน ทำให้เกิดดารเปลี่ยนแปลงทั้งธรรมชาติและมนุษย์
ละครเรื่องนี้เกิดขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการนิทานสายน้ำ The River Project ของภาควิชาการละคร มหาวิทยาลัยไมอามิ รัฐโอไฮโอ ซึ่งกำหนดทิศทางทางโดย ครูคำรณ คุณะดิลก ครั้งนั้นเป็นการทำงานร่วมกับนักศึกษาที่นั่น โดยมี นาด สินีนาฏ เกษประไพ และ คาเงะ ธีระวัฒน์ มุลวิไล เป็นผู้ช่วย แสดงที่โรงละครกลางแจ้งErnst Theatre ในมหาวิทยาลัย และนำกลับมาแสดงอีกครั้งโดยสมาชิกพระจันทร์เสี้ยวการละคร กำกับโดย สินีนาฏ เกษประไพ เพื่อร่วมแสดงในงานเทศกาลละครกรุงเทพเมื่อปีที่แล้ว และกลับมาแสดงอีกครั้งในงาน “ให้”ปลูกดนตรีในสวนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ที่สวนลุมพินี “ปีศาจ” เป็นนิยายชิ้นสำคัญของ เสนีย์ เสาวพงศ์ (นามแฝงของ คุณศักดิ์ชัย บำรุงพงษ์) เรื่องนี้พิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารสยามสมัย ระหว่างปี 2496-7 ซึ่งเป็นยุคภายหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ไทย มีความตื่นตัว ทางความคิด ความอ่าน เกี่ยวกับการเมือง และสังคม ค่อนข้างมาก
ปีศาจเป็นงานที่แสดงถึงจุดมุ่งหมายและความคิดที่เด่นชัดมากที่สุดสำหรับเมืองไทย ในยุคนั้น หรือแม้แต่ในยุค 14 ตุลาคม 2516 คนอย่าง สาย สีมา รัชนี ผู้รักความเป็นธรรม และเห็นใจคนยากคนจน อาจจะดู เป็นคนในอุดมคติ สำหรับสังคมไทย ในปัจจุบันมากเกินไป แต่เขาเหล่านั้น ก็เป็นเสมือนตัวแทน ของคนรุ่นใหม่ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้เริ่มปฏิเสธค่านิยมเก่าๆ ของสังคมโบร่ำโบราณ ซึ่งไม่เคย มีการเปลี่ยนแปลง ขนาดใหญ่เลย ตลอดระยะเวลา หลายร้อยปีที่ผ่านมา สังคมอภิสิทธิชน ซึ่งพร้อมที่จะ ดูดกลืนคนอยู่เสมอ เพราะความเจ้าเล่ห์ ซึ่งเติบโตขึ้น ตามอายุขัย และขนาดของมัน ในแง่ประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา ปีศาจ ที่เสนีย์ เสาวพงศ์ สร้างขึ้นมา ก็เป็นตัวแทน การเริ่มต้น ที่จะประท้วง โดยคนรุ่นใหม่ ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กลับมาจับใจ คนรุ่นใหม่ ช่วงปี 2516-2519 อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นยุคสมัย ที่คนหนุ่มสาว กำลังตื่นตัว ที่จะแสวงหา สังคมอุดมคติ คล้ายๆ กัน ปีศาจอย่าง สาย สีมา ตัวที่กาลเวลา ได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอน คนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิด ความละเมอ หวาดกลัว... อาจจะเป็นเพียงนักฝัน นักอุดมคติในยุคหนึ่ง แต่เขาได้สร้าง แรงบันดาลใจ ให้คนจำนวนไม่น้อย ได้ลงมือใช้ชีวิต ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมจริงๆ ทั้งในป่าเขา ในชนบท ในโรงงาน ในวงการศึกษา สื่อสารมวลชน และอื่นๆ (อ้างอิงมาจาก สนพ.มติชน)
"ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความก้าวหน้าของ กาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที...ท่านอาจจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้บางสิ่งบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป โลกของเราเป็นคนละโลก โลกของผมเป็นโลกของธรรมดาสามัญชน"
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระจันทร์เสี้ยวการละครจะหยิบเอา “ปีศาจ” ขึ้นแสดงบนเวที หลังจากได้ทำการแสดงมาหลายครั้งหลายหนในละครเรื่อง “คือผู้อภิวัฒน์” แม้จะเป็นตอนสั้นๆในฉากงานเลี้ยงแต่เป็นตอนที่มีความเข้มข้นสูง มีบทพูดคมคายที่สะท้อนว่าปีศาจนั้นยังคงอยู่เหนือกาลเวลา
No comments:
Post a Comment