11 July 2010

บทวิจารณ์ "คือผู้อภิวัฒน์" (2553)

มีบทวิจาณ์จากเว็บไซด์ วิจารณ์แบบไร้ปราณี ที่เขียนถึงละครเวที "คือผู้อภิวัฒน์" ในครั้งนี้มาให้อ่านกัน หากใครสนใจอ่านบทวิจารณ์ละครเวทีและหนังตามไปอ่านได้ที่
http://www.barkandbite.net/


คือผู้อภิวัฒน์:
แด่คนดี แด่อุดมการณ์ แด่ประเทศชาติ

Posts by nuttaputch


"คือผู้อภิวัฒน์” น่าจะเป็นหนึ่งในละคร “ตำนาน” ของประวัติศาสตร์ละครเวทีไทย ตั้งแต่การที่เป็นบทละครดั้งเดิมโดยคนไทยที่ถูกหยิบนำมาสร้างใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่ามากที่สุดเรื่องหนึ่ง จนไปถึงบทบาทของละครต่อการเมืองและสังคมที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งนอกเหนือจากสถิติต่าง ๆ แล้วนั้น สิ่งที่พระจันทร์เสี้ยวการละคร ซึ่งเป็นผู้สร้างละครเรื่องนี้มาก็ยังคงคุณภาพและ “พลัง” ที่อัดแน่นไว้ในละครทุกโปรดักชั่นโดยตลอด

ซึ่ง “คือผู้อภิวัฒน์” ในวาระล่าสุดนั้น ก็ยังคงเป็นละครที่ยอดเยี่ยมและเหนือชั้นในวิธีการนำเสนอ พร้อม ๆ กับการพูดถึงเนื้อหาว่านี่คือละครที่คนไทยทุกคนในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันควรจะได้ดูอย่างยิ่ง

เรื่องราวของ “คือผู้อภิวัฒน์” คือชีวประวัติของปรีดี พนมยงค์ บรุษผู้ได้ชื่อว่ามีส่วนสำคัญกับการพลิกประวัติศาสตร์และระบอบการปกครองของประเทศไทย ซึ่ง “คือผู้อภิวัฒน์” หยิบสาระและช่วงเหตุการณ์สำคัญตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฏร์ พ.ศ. 2475 จนถึงเหตุการณ์สำคัญทางเมืองต่าง ๆ ที่ตามมา ผ่านทางมุมมอง (ส่วนหนึ่ง) ของปรีดีเองไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเนื้อหาสาระสำคัญหลักคือการตีแผ่ “ความจริง” หรือที่ละครเรียกว่า “สัจจะ” ของประวัติศาสตร์ที่บางคนอาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้าง (หรือแม้กระทั่งรู้จริงและรู้ไม่จริง) ให้ได้รับรู้กัน

กลวิธีเด่น ๆ ของ “คือผู้อภิวัฒน์” คือการใช้กลวิธีการเล่าเรื่องแบบละคร Brechtian ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือไม่ลากหรือนำพาให้คนดูอินไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่มุ่งเน้นให้คนดูถอยห่างและพิจารณาเรื่องด้วยการใช้สติอย่างแท้จริง โดยละครซึ่งมีเนื้อหาทางด้านประวัติศาสตร์อยู่แล้วนั้นจะมีข้อได้เปรียบเรื่องนี้อยู่พอสมควร จึงไม่แปลกที่ถ้าผู้ชมคนใดรู้ประวัติศาสตร์มาบ้างแล้วเกี่ยวกับการเมืองไทยในยุคตั้งไข่ ก็จะทำให้ไม่ต้องสนใจว่า “อะไรจะเกิดต่อไป​” แต่มุ่งสนใจไปที่ “อะไรที่ทำให้เกิดอย่างนั้น” ซึ่งนั่นเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องโดยแท้จริง

“คือผู้อภิวัฒน์” จึงใช้การเล่าเรื่องผ่านทางผุ้บรรยาย หรือการบอกเล่าจากตัวละครต่าง ๆ ที่ไม่ต่างจากการเล่าให้ผู้ชมฟังถึงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการลำดับบทได้อย่างคมคาย มีการเกริ่น บอกใบ้ และกระตุ้นให้คนดูคิดตามและพิจารณาเรื่องราวอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะได้รับรู้ที่มาที่ไปของหน้าประวัติศาสตร์ รวมทั้งสิ่งที่กลืนอยู่ในนั้นแต่ไม่ได้ถูกจารึกไว้ ซึ่งก็คือ “อุดมการณ์” “ความรู้สึก” และ “จุดมุ่งหมายที่แท้จริง” ของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์
นอกจากนี้แล้ว วิธีการนำเสนอของละครยังเป็นการผสมผสานของการแสดงสมัยใหม่เช่นการใช้ร่างกายหรือท่วงท่าและการเคลื่อนไหวบอกเล่าหรืออธิบายแทนที่จะหวังพึ่งเพียงแค่บทสทนาเพียงอย่างเดียว ซึ่งสำหรับโปรดักชั่นนี้ สินีนาฏ เกษประไพ ผู้กำกับทำออกมาได้โดดเด่นและสวยงามมากองค์ประกอบต่าง ๆ บทเวทีนั้นลงตัวกับบทละครและลึกซึ้งในด้านตีความตลอดไปจน “พลัง” ของภาพบนเวทีที่ผู้ชมจะได้ชม (ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์เด่น ๆ ซึ่งเราจะเห็นได้จากผลงานละครเวทีเรื่องอื่น ๆ ของเธอ) ซึ่ง ”คือผู้อภิวัฒน์” ในวาระนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ สำหรับนักเรียนละครที่พยายามหาคำตอบว่าบล็อคกิ้งหรือตำแหน่งของนักแสดงบนเวทีนั้นสำคัญและให้พลังกับเรื่องที่แตกต่างกันได้อย่างใด

ในส่วนของทีมนักแสดงสำหรับ​ “คือผู้อภิวัฒน์” ในวาระนี้นั้น ก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยพลังของการแสดงรวมทั้งจังหวะการโต้ตอบและรับส่งบทไปมานั้น มีความต่อเนื่องและเฉียบคมค่อนข้างสูง ซึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ละครเรื่องนี้ดูฮึกเหิมและคึกคักอยู่ตลอด

สำหรับผู้เขียนแล้ว “คือผู้อภิวัฒน์” คือหนึ่งในละครสมัยใหม่ที่มีความโดดเด่นทั้งในเชิงวรรณกรรมและเชิงศิลปะการแสดงค่อนข้างสูง และไม่น่าแปลกที่มันจะถูกนำมาแสดงครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ผู้ชมดูกี่ครั้งก็จะไม่รู้สึกเบื่อ แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังและแรงบันดาลใจที่จะทำให้ก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตบางอย่าง เฉกเช่นกับพลังและอุดมการณ์ของคน ๆ หนึ่งที่หมายว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้นเพื่อคนไทยทุกคน

นี่อาจจะไม่ใช่ละครที่ดูแล้วรู้สึกสบาย รู้สึกยิ้มเปรมปรีย์ มีหลายช่วงที่อาจจะรู้สึกสะเทือนใจหรือกดดันมากพอสมควร แต่อย่างไรซะ ในท้ายที่สุดละครจะพาผู้ชมไปสู่จุดที่ค้นพบแสงสว่างและความหวัง และที่สำคัญซึ่งอาจจะเหมาะเจาะกับช่วงเวลาปัจจุบัน คือความหมายที่แท้จริงของ “ประชาธิปไตย” รวมทั้ง สาเหตุและสิ่งที่ต้องแลกมาเพื่อสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยทุกคน ซึ่งผู้เขียนคิดว่าคือหนึ่งในสิ่งที่เราทุกคนควรสำรวจและคิดทบทวนกันเสียแล้วก่อนที่เราจะต้องเจอบทเรียนแสนบอบช้ำจากประชาธิปไตยที่เอามาอ้างกันอีกสักเท่าไรกัน

ขอขอบคุณ:
เว็บไซด์วิจารณ์แบบไร้ปราณี และ nuttaputch

ภาพถ่ายโดย:
ทวิทธิ์ เกษประไพ

No comments: