Showing posts with label คือผู้อภิวัฒน์. Show all posts
Showing posts with label คือผู้อภิวัฒน์. Show all posts

12 November 2020

ข้อเขียนเกี่ยวกับละครเวที "คือผู้อภิวัฒน์" (เพิ่มเติม)

 




"คือผู้อภิวัฒน์": เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพบนนาฏกรรม

โดย กุลพัชร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา

4 พฤศจิกายน 2563

จากเพจ : สถาบันปรีดี พนมยงค์ 

https://pridi.or.th/th/content/2020/11/484




คือผู้อภิวัฒน์ 2020

โดย บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

8 พฤศจิกายน 2563  

จาก : ประชาไท บลอกกาซีน

https://blogazine.pub/blogs/pandit-chanrochanakit/post/6558



คือผู้อภิวัฒน์ Le révolutionnaire (2020)

จากเพจ : ชีวิตผมก็เหมือนหนัง 

8 พฤศจิกายน 2563  

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=194132338947870&set=a.188846442809793&type=3&theater






10 November 2020

คือผู้อภิวัฒน์ วาระ 7

 



จบลงไปแล้วกับละครเวที "คือผู้อภิวัฒน์" ในวาระที่ 7 จำนวน 12 รอบการแสดง 

พระจันทร์เสี้ยวการละครขอขอบคุณ สาขาวิชาการละคอน คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้เลือกบทละครเรื่องนี้ไปจัดแสดง โดยเชิญคุณสินีนาฏ เกษประไพ Artistic Director พระจันทร์เสี้ยวการละคร กำกับในครั้งนี้ และออกแบบแสงโดย ผู้กำกับเทคนิคของเรา คุณทวิทธิ์ เกษประไพ



ทำให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งของการ ร่วมฉลอง 120 ปี ชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ และ เป็นละคอนเวทีประจำปี 2563 ของคณะในปีนี้ซึ่งเป็นละครเรื่องแรก ที่จัดแสดงในโรงละครแห่งใหม่ ทำให้เราได้มีโอกาสทำงานร่วมกับน้องๆนักแสดงและทีมงานคนรุ่นใหม่ ได้แชร์ริ่งและส่งต่อความคิดเกี่ยวกับเนื้อหาประเด็นทางสังคม และวิธีการนำเสนอและฝึกฝนละครในแนวทาง Brechtian

ขอขอบคุณ คุณคำรณ คุณะดิลก ครู ผู้ก่อตั้ง ผู้เขียนบท และผู้กำกับออริจินอลเวอร์ชั่น ที่มาเสริมความรู้และทักษะให้กับนักแสดง

ขอขอบคุณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้





03 November 2020

"คือผู้อภิวัฒน์" การกลับมาแสดงในครั้งที่ 7

 



ละคร ‘คือผู้อภิวัฒน์’ กลับมาแสดงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 นับจากปี 2530 โดยมีการจัดแสดงก่อนหน้านี้ คือ 

1. ปี 2530 เปิดตัวครั้งแรกที่หอศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ เพื่อต้องการนำเสนออุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้น

2. ปี 2530 แสดงที่หอศิลป์ พีระศรี กรุงเทพฯ และสัญจรไปแสดงที่ปัตตานีและเชียงใหม่

3. ปี 2538 แสดงในพิธีเปิดสถาบันปรีดี พนมยงค์ และได้รับเชิญร่วมในเทศกาลละครครั้งที่ 1 ที่ ศูนย์ศิลปะวะฒนธรรมแสงอรุณ โดยทีมนักแสดงรุ่นใหม่ กำกับโดย คำรณ คุณะดิลก 

4. ปี 2542-3 จัดแสดงในวาระ 100 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ โดยจัดแสดงที่ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ในต่างประเทศ คือ ฝรั่งเศส, เนเธอแลนด์, สวีเดน, อเมริกา และแสดงในต่างจังหวัดอีกหลายจังหวัด รวม 100 รอบ 

5. ปี 2543 พระจันทร์เสี้ยวการละครฝึกนักแสดงรุ่นใหม่ 12 คน จัดแสดงในกรุงเทพฯ และสัญจรไปต่างจังหวัด คือ อยุธยา, ชลบุรี, อุบลราชธานี และ นครศรีธรรมราช 

6.ปี 2553 ในวาระ 110 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ จัดแสดงที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ กำกับโดย สินีนาฏ เกษประไพ

7.ปี 2563 ในวาระะ 120 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์ จัดโดยคณะศิลปกรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ กำกับโดย สินีนาฏ เกษประไพ ควบคุมการผลิตโดย ผศ.ดร.ภาสกร อินทุมาร โดยมีนักแสดงเป็นนักศึกษาสาขาวิชาการละคอน คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดแสดงที่โรงละคอนแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat Playhouse) ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งจะจัดแสดงไปถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 รวมจัดแสดงทั้งหมด 12 รอบ 






27 October 2020

คือผู้อภิวัฒน์ จากคำนำหนังสือบทละคร

 


ละครเวที "คือผู้อภิวัฒน์" เรื่องราวประวัติของ รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์

จัดแสดงครั้งแรกปี 2530 โดย สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ 

เป็นผู้จัดโดยมีวัตถุประสงค์ 

"ไม่เพียงแค่เหตุผลที่ว่าเพราะท่าน อ.ปรีดี พนมยงค์  เป็นผู้ประศาสน์การเท่านั้น หากวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการจัดละครในครั้งนี้ ต้องการ

ที่จะนำเสนออุดมการณ์ของท่านที่มีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้นในวิถีต่างๆ โดยหวังที่จะสื่อผ่านรูปแยยละคร

เพื่อเป็นการตั้งคำถามว่าอุดมการณ์เหล่านี้จะได้รับการตอบขานเช่นไรจากสังคม และชนรุ่นใหม่ของสังคมไทย"

(จากคำนำ หนังสือบทละคร คือผู้อภิวัฒน์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ปี 2530)

ภาพ : จากการซ้อม คือผู้อภิวัฒน์ 2020



ละครเวที "คือผู้อภิวัฒน์" 

บทละครโดย คำรณ คุณะดิลก และ พระจันทร์เสี้ยวการละคร 

กำกับโดย สินีนาฏ เกษประไพ

แสดงโดย นักศึกษาสาขาการละคอน คณะศิลปกรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์

จัดโดย สาขาการละคอน คณะศิลปกรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์

ในวาระ 120 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ 

แสดงวันที่ 29 ต.ค. - 8 พ.ย. 2563 

ที่ โรงละคอนแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Thammasat Playhouse) ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

สำหรับผู้ที่สนใจรับชม จองบัตรชมฟรีได้ที่ 

https://www.ticketmelon.com/lakornfatu2020/lerevolutionnaire

#คือผู้อภิวัฒน์2020 #ละคอนธรรมศาสตร์ #ละครเวที 

#พระจันทร์เสี้ยวการละคร #CrescentMoonTheatre #Brechtian

31 August 2010

บทวิจารณ์ "คือผู้อภิวัฒน์" ใน FineArtsMag

คือผู้อภิวัฒน์ เบรคชท์ และผม
เขียนโดย ภาสกร อินทุมาร

จากนิตยสาร Fine Arts Magazine ฉบับประจำเดือนสิงหาคม 2553



กรกฎาคม 2530 ผมมีโอกาสดูละครเรื่อง “คือผู้อภิวัฒน์” ที่ “หอเล็ก” (ชื่อจริงในสมัยนั้นคือ หอศิลปวัฒนธรรม ชื่อจริงในปัจจุบันคือ หอประชุมศรีบูรพา) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้จัดคือสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ โดยมี คำรณ คุณะดิลก เป็นผู้เขียนบทและกำกับการแสดง ในครั้งนั้น ผมยังไม่มีความรู้ใดๆเกี่ยวกับการละคร และยังไม่เคยดูละครเวที การได้ดูละครเรื่องนี้สร้างความแปลกใจให้กับผมอยู่พอสมควร เพราะดูจะเป็นละครที่ประหลาด ประหลาดเพราะว่า แรกทีเดียวนั้นผมเข้าใจว่าละครเรื่องนี้เป็นเรื่องราวชีวิตของ “อาจารย์ปรีดี พนมยงค์” ผู้อภิวัฒน์การปกครอง พ.ศ. 2475 แต่เหตุใดเรื่องราวชีวิตของอาจารย์ปรีดีผู้ซึ่งมีตัวตนจริง จึงมี “แม่พลอย” ตัวละครเอกจากวรรณกรรมเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ผมเคยอ่าน เข้ามาปรากฏ และยังมี “สาย สีมา” ตัวละครที่ผมประทับใจอย่างยิ่งจากวรรณกรรมเรื่อง “ปีศาจ” ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ เข้ามาด้วย ความประหลาดยังมีมากกว่านี้ เพราะว่าในหลายๆครั้งนักแสดงที่กำลังแสดงเป็นตัวละครในเรื่องก็หันมาพูดกับคนดู รวมทั้งนักแสดงคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนไปเป็นตัวละครต่างๆได้มากมาย โดยนักแสดงทุกคนจะใส่ชุดดำเป็นพื้นฐาน (ยกเว้นผู้แสดงเป็นอาจารย์ปรีดี) พอเป็นตัวละครหนึ่งก็เอาเสื้อหรือผ้ามาใส่ประกอบเพื่อให้รู้ว่าเป็นตัวละครใด พอเปลี่ยนเป็นตัวละครตัวใหม่ ก็เอาเสื้อหรือผ้าอีกลักษณะหนึ่งมาเปลี่ยน เช่น คนที่เล่นเป็นแม่พลอยก็แค่เอาสไบมาห่ม พอหมดบทแม่พลอย ก็เอาสไบออก ไปเป็นตัวละครอื่นๆต่อไป เป็นต้น ฉากหลังของละครก็เป็นผืนผ้าสีดำ บนเวทีก็มีแท่นสีดำๆอยู่ 3 แท่น จัดวางเปลี่ยนที่ไปมาในแต่ละฉากต่อหน้าคนดู และคนที่จัดวางแท่นเหล่านี้ก็คือนักแสดง!

นี่คือละครประเภทใดกัน ผมสงสัย พอได้ไปอ่านบทวิจารณ์ละครเรื่องนี้ที่ ศาสตราจารย์ ดร.เจตนา นาควัชระ เขียนไว้ในนิตยสาร “ถนนหนังสือ” ฉบับเดือนสิงหาคม 2530 ก็ได้ความว่าละครแบบนี้เรียกว่าละคร “เอพิค” (Epic Theatre) ซึ่งเป็นรูปแบบละครที่สร้างขึ้นโดย แบร์ทอล์ท เบรคชท์ (Bertolt Brecht) นักการละครชาวเยอรมัน แต่อาจารย์เจตนาก็ได้กล่าวว่า “จะว่าเป็นละคร “เอพิค” ตามแบบฉบับของเบรคชท์อย่างตายตัวก็เห็นจะไม่ใช่ ผู้กำกับการแสดงคงจะได้สั่งสมความรู้ในด้านกลวิธีมาอย่างกว้างขวางและก็สามารถคิดต่อเลยไปจากเทคนิคที่ใช้กันอยู่ทั่วไป... การที่ผู้กำกับการแสดงนำเทคนิคที่เรียกว่าการ “ตัดแปะ” (collage) มาใช้นั้นนับว่าทำได้อย่างน่าสนใจมาก... เพราะทั้งแม่พลอยจาก สี่แผ่นดิน และ สาย สีมา จาก ปีศาจ ก็ปรากฏตัวในละครเรื่องนี้ การนำเอาวรรณกรรมที่คนดูส่วนใหญ่รู้จักมาสอดแทรกไว้ในละครเรื่องใหม่เป็นการกระตุ้นให้ผู้ชม “หยุดคิด” และ “ฉุกคิด” ในกรณีของสี่แผ่นดิน ผู้สร้างบทให้โอกาสแม่พลอยออกมาแสดงความฉงนสนเท่ห์ต่อความเปลี่ยนแปลงที่เธอรับไม่ได้ถึงสองครั้งสองครา และในครั้งที่สองนั้น แม่พลอยเดินออกจากบท ผละหนีออกจากกรอบของวรรณกรรมเรื่องสี่แผ่นดิน ไปร้องเรียนต่อ “คุณชาย” แห่งซอยสวนพลูว่าเธอไม่อาจรับความเปลี่ยนแปลงอันแสนจะปวดร้าวได้ ผมต้องยอมรับว่ายังไม่เคยชมละครเรื่องใด ทั้งไทยและเทศ ที่นำเอาเทคนิค “การทำให้แปลก” (ซึ่งเป็นมรดกของเทคนิคการแสดงที่เบรคชท์เรียกว่า “Verfremdung”) มาใช้ในเชิงสร้างสรรค์ซึ่งสร้างทั้งความคิดและความบันเทิงได้ดีเท่านี้ ในกรณีของนวนิยาย ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ นั้น ก็มีการตัดตอนมาจากฉากที่เจ้าคุณพ่อของรัชนีจัดงานเลี้ยงอันใหญ่โต และใช้โอกาสนั้นบริภาษ สาย สีมา และเมื่อสาย สีมา ตอบโต้ว่า “ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า” ผู้ชมก็เข้าใจได้ทันทีว่าปีศาจสัมพันธ์กับคือผู้อภิวัฒน์อย่างไร...”

จริงดังอาจารย์เจตนาว่า เพราะทั้งแม่พลอยและสาย สีมา ได้ทำให้ผมทั้งหยุดคิดและฉุกคิด ว่าในขณะที่ผู้คนในยุคสมัยของเราต่างเชื่อว่าประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองที่ถูกต้องและเหมาะสม แต่ในปี 2475 นั้น ผู้ทำการอภิวัฒน์การปกครองกลับเป็นเสมือนดั่งปีศาจที่คนในอำนาจเก่าเกลียดชังและไม่ยอมรับ และหากละครเรื่องนี้ไม่ใช้ “การทำให้แปลก” เช่นนี้ แต่เล่าเรื่องราวชีวิตของอาจารย์ปรีดีไปเรื่อยๆจากต้นจนจบ วัยรุ่นอายุ 18 อย่างผมคงจะไม่ได้หยุดคิดและฉุกคิดเป็นแน่ คงได้แต่เพียงรับรู้เรื่องราวชีวิตของอาจารย์ปรีดีที่อ่านจากหนังสือก็คงจะไม่ต่างกันนัก





กรกฎาคม 2553 ผมมีโอกาสดูละครเรื่อง “คือผู้อภิวัฒน์” อีกครั้ง ครั้งนี้จัดแสดงที่ หอประชุมพูนศุข พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ เนื่องในวาระครบรอบ 110 ปี ชาตกาลรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ละครคราวนี้ยังคงบทละครเดิม แต่กำกับการแสดงโดย สินีนาฏ เกษประไพ แห่ง “พระจันทร์เสี้ยวการละคร” ผู้ได้รับรางวัล “ศิลปาธร” สาขาศิลปะการแสดง ปี 2551 การดูละครในครั้งนี้ต่างจากเมื่อ 23 ปีที่แล้ว ในครั้งนี้ผมได้ผ่านการทำความรู้จักกับเบรคชท์มามากขึ้น ผมได้รู้ว่าเบรคชท์ไม่เห็นด้วยกับละครตามหลัก “กวีศาสตร์” (The Poetics) ของอริสโตเติล ที่กระตุ้นให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกสงสารและกลัว (pity and fear) และปลดเปลื้องความรู้สึกเมื่อละครจบลง (catharsis) รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับละครสมัยใหม่ในแบบ “สัจนิยม” (Realism) ที่ผู้ชมเป็นดั่งผู้เฝ้ามองเรื่องราวชีวิตของผู้อื่น และเดินออกจากโรงละครไปโดยไม่ต้องมีเรื่องค้างคาใจให้คิดต่อ ซึ่งเบรคชท์เห็นว่าละครเช่นนี้ทำลายพลังทางสติปัญญาของผู้ชม เบรคชท์ต้องการให้ละครเป็นเครื่องกระตุ้นให้ผู้ชมคิด และ “การทำให้แปลก” ทั้งการไม่ซ่อนดวงไฟที่ใช้ส่องเวที การพูดกับคนดู ซึ่งในบางกรณีให้คนดูช่วยคิดหาตอนจบให้กับละครด้วย การใช้ผู้เล่าเรื่อง (narrator) ฯลฯ ก็คือเครื่องมือที่จะทำให้ผู้ชมไม่เกิดอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวที่นำเสนอ หรือบางครั้งที่ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราว เบรคชท์ก็จะตัดอารมณ์ด้วยการให้นักแสดงหันมาพูดกับคนดูบ้าง หรือใช้วิธีอื่นๆบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้ชมคิด บางทีก็กระตุ้นให้ผู้ชมคิดคัดง้างกับละครอีกด้วย
บทวิจารณ์ละครเรื่องนี้ที่อาจารย์เจตนาเขียนในปี 2530 มีชื่อว่า “คือผู้อภิวัฒน์... ทางอันแจ่มใสของละครเวทีไทย” การที่อาจารย์ตั้งชื่อบทความเช่นนี้ก็เพราะในช่วงเวลานั้นสถานการณ์ละครเวทีไทยดูจะน่าเป็นห่วง เพราะละครส่วนใหญ่กำลังเดินตามฝรั่งในลักษณะลอกเลียนแบบ แต่สำหรับ “คือผู้อภิวัฒน์” นั้น อาจารย์เจตนากล่าวถึงว่า “ถ้าเบรคชท์ยังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะภาคภูมิใจเป็นอันมากว่า เขามีเพื่อนในประเทศโพ้นทะเลที่นำสิ่งประดิษฐ์คิดค้นของเขาไปคิดต่อและไปประยุกต์ใช้ได้อย่างดี อาจจะดีกว่าที่เขาลงมือทำเอง หรือที่สานุศิษย์ของเขาในเยอรมันเองได้ทำมาแล้วเสียอีก...” และนี่กระมังที่อาจารย์บอกว่าเป็นทางอันแจ่มใสของละครเวทีไทย สำหรับผมที่ได้ดูละครเรื่องนี้ในปีนั้น ผมไม่รู้หรอกว่าละครเวทีไทยกำลังมืดมนอยู่หรือไม่ ผมรู้แต่เพียงว่าละครเรื่องนี้ทำให้ผมซึ่งเป็นคนดูแจ่มใส เป็นความแจ่มใสที่เกิดจากการหยุดคิดและฉุกคิดกับสิ่งที่ละครพูดกับผม


การดูละครเรื่องนี้อีกครั้งไม่ได้ทำให้ผมหยุดคิดหรือฉุกคิดในเรื่องเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งที่ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ในครั้งนี้ก็คือ ไม่ว่าละครเวทีไทยจะแจ่มใส หรือหม่นหมอง แต่สังคมไทยที่ซับซ้อนและย้อนแย้งอย่างที่เป็นอยู่ในปี 2553 นี้ เราต้องการละครที่ทำให้คนคิด มากกว่าละครที่ทำให้คนดูเชื่อตาม




ชมภาพละคร "คือผู้อภิวัฒน์"

สองรอบสุดท้ายของละครเวที "คือผู้อภิวัฒน์" วันที่ 27 สิงหาคม ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เราได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่น ผู้ชมเต็มทั้งสองรอบ ด้วการร่วมจัดระหว่าง คณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์ และ คณะศิลปกรรมศษสตร์ และ พระจันทร์เสี้ยวการละคร ด้วยการประสานงานอย่างดีจาก ครูออย ช่อลดา สุริยะโยธิน











04 August 2010

"คือผู้อภิวัฒน์" สัญจร ม.ธุรกิจบัณฑิตย์



หลังจากเปิดการแสดงที่ห้องประชุมพูนศุข พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ไปแล้ว 6 รอบ เมื่อเดือนมิ.ย. และ ก.ค.ที่ผ่านมา ผู้ชมเกือบๆจะเต็มทุกรอบ เราได้รับเสียงตอบรับอย่างอบอุ่น พระจันทร์เสี้ยวจะสัญจรไปม.ช.อีกสองรอบการแสดง และกลับมาที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดแสดงอีกสองรอบ

วันที่ 27 สิงหาคม 2553
เวลา 15.00 และ 18.03 น.


ที่ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 2 รอบ
ณ ห้องประชุม ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์
อาคาร 6 ชั้น 7

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเร็วๆนี้ที่นี่

19 July 2010

"คือผู้อภิวัฒน์" สัญจรเชียงใหม่

โครงการจัดงานในวาระครบรอบ ๑๑๐ ปี ชาตกาลรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์, คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ พระจันทร์เสี้ยวการละคร

ภูมิใจเสนอ
ละครเวทีสร้างสรรค์...ที่ไม่ธรรมดา

คือผู้อภิวัฒน์
เรื่องราวชีวประวัติของ ‘ปรีดี พนมยงค์’ รัฐบุรุษอาวุโสของประเทศไทย หลังจากทำการแสดงที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ไปแล้ว 6 รอบ และได้รับเสียงตอบรับอย่างดี ‘คือผู้อภิวัฒน์’ จะสัญจรไปแสดงที่ มช. 2 รอบ
มาชมละครเวทีร่วมสมัยของไทยเรื่องนี้ที่ถือได้ว่านำกลับมาจัดแสดงใหม่มากครั้งที่สุดเรื่องหนึ่ง และได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดของละครไทยในแนวทาง Brechtian ทั้งยังเป็นละครเวทีเพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์ทางการเมืองของไทยที่เข้มข้นทั้งความคิดและรูปแบบการนำเสนอ

จัดแสดง ณ ห้องประชุม มล. ตุ้ย ชั้นที่ 8 อาคาร HB7
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2553 เวลา 19.00 น
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2553 เวลา 14.30 น

บัตรราคา 200 บาท (นักเรียน,นักศึกษา 100 บาท)

สำรองที่นั่งได้ที่
086 728 6828 (คุณกระแต)
081 562 4636 (คุณจั่น)

WWW.CrescentMoonTheatre.com

11 July 2010

บทวิจารณ์ "คือผู้อภิวัฒน์" (2553)

มีบทวิจาณ์จากเว็บไซด์ วิจารณ์แบบไร้ปราณี ที่เขียนถึงละครเวที "คือผู้อภิวัฒน์" ในครั้งนี้มาให้อ่านกัน หากใครสนใจอ่านบทวิจารณ์ละครเวทีและหนังตามไปอ่านได้ที่
http://www.barkandbite.net/


คือผู้อภิวัฒน์:
แด่คนดี แด่อุดมการณ์ แด่ประเทศชาติ

Posts by nuttaputch


"คือผู้อภิวัฒน์” น่าจะเป็นหนึ่งในละคร “ตำนาน” ของประวัติศาสตร์ละครเวทีไทย ตั้งแต่การที่เป็นบทละครดั้งเดิมโดยคนไทยที่ถูกหยิบนำมาสร้างใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่ามากที่สุดเรื่องหนึ่ง จนไปถึงบทบาทของละครต่อการเมืองและสังคมที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งนอกเหนือจากสถิติต่าง ๆ แล้วนั้น สิ่งที่พระจันทร์เสี้ยวการละคร ซึ่งเป็นผู้สร้างละครเรื่องนี้มาก็ยังคงคุณภาพและ “พลัง” ที่อัดแน่นไว้ในละครทุกโปรดักชั่นโดยตลอด

ซึ่ง “คือผู้อภิวัฒน์” ในวาระล่าสุดนั้น ก็ยังคงเป็นละครที่ยอดเยี่ยมและเหนือชั้นในวิธีการนำเสนอ พร้อม ๆ กับการพูดถึงเนื้อหาว่านี่คือละครที่คนไทยทุกคนในสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันควรจะได้ดูอย่างยิ่ง

เรื่องราวของ “คือผู้อภิวัฒน์” คือชีวประวัติของปรีดี พนมยงค์ บรุษผู้ได้ชื่อว่ามีส่วนสำคัญกับการพลิกประวัติศาสตร์และระบอบการปกครองของประเทศไทย ซึ่ง “คือผู้อภิวัฒน์” หยิบสาระและช่วงเหตุการณ์สำคัญตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฏร์ พ.ศ. 2475 จนถึงเหตุการณ์สำคัญทางเมืองต่าง ๆ ที่ตามมา ผ่านทางมุมมอง (ส่วนหนึ่ง) ของปรีดีเองไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเนื้อหาสาระสำคัญหลักคือการตีแผ่ “ความจริง” หรือที่ละครเรียกว่า “สัจจะ” ของประวัติศาสตร์ที่บางคนอาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้าง (หรือแม้กระทั่งรู้จริงและรู้ไม่จริง) ให้ได้รับรู้กัน

กลวิธีเด่น ๆ ของ “คือผู้อภิวัฒน์” คือการใช้กลวิธีการเล่าเรื่องแบบละคร Brechtian ซึ่งมีลักษณะสำคัญคือไม่ลากหรือนำพาให้คนดูอินไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่มุ่งเน้นให้คนดูถอยห่างและพิจารณาเรื่องด้วยการใช้สติอย่างแท้จริง โดยละครซึ่งมีเนื้อหาทางด้านประวัติศาสตร์อยู่แล้วนั้นจะมีข้อได้เปรียบเรื่องนี้อยู่พอสมควร จึงไม่แปลกที่ถ้าผู้ชมคนใดรู้ประวัติศาสตร์มาบ้างแล้วเกี่ยวกับการเมืองไทยในยุคตั้งไข่ ก็จะทำให้ไม่ต้องสนใจว่า “อะไรจะเกิดต่อไป​” แต่มุ่งสนใจไปที่ “อะไรที่ทำให้เกิดอย่างนั้น” ซึ่งนั่นเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องโดยแท้จริง

“คือผู้อภิวัฒน์” จึงใช้การเล่าเรื่องผ่านทางผุ้บรรยาย หรือการบอกเล่าจากตัวละครต่าง ๆ ที่ไม่ต่างจากการเล่าให้ผู้ชมฟังถึงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการลำดับบทได้อย่างคมคาย มีการเกริ่น บอกใบ้ และกระตุ้นให้คนดูคิดตามและพิจารณาเรื่องราวอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะได้รับรู้ที่มาที่ไปของหน้าประวัติศาสตร์ รวมทั้งสิ่งที่กลืนอยู่ในนั้นแต่ไม่ได้ถูกจารึกไว้ ซึ่งก็คือ “อุดมการณ์” “ความรู้สึก” และ “จุดมุ่งหมายที่แท้จริง” ของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์
นอกจากนี้แล้ว วิธีการนำเสนอของละครยังเป็นการผสมผสานของการแสดงสมัยใหม่เช่นการใช้ร่างกายหรือท่วงท่าและการเคลื่อนไหวบอกเล่าหรืออธิบายแทนที่จะหวังพึ่งเพียงแค่บทสทนาเพียงอย่างเดียว ซึ่งสำหรับโปรดักชั่นนี้ สินีนาฏ เกษประไพ ผู้กำกับทำออกมาได้โดดเด่นและสวยงามมากองค์ประกอบต่าง ๆ บทเวทีนั้นลงตัวกับบทละครและลึกซึ้งในด้านตีความตลอดไปจน “พลัง” ของภาพบนเวทีที่ผู้ชมจะได้ชม (ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์เด่น ๆ ซึ่งเราจะเห็นได้จากผลงานละครเวทีเรื่องอื่น ๆ ของเธอ) ซึ่ง ”คือผู้อภิวัฒน์” ในวาระนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ สำหรับนักเรียนละครที่พยายามหาคำตอบว่าบล็อคกิ้งหรือตำแหน่งของนักแสดงบนเวทีนั้นสำคัญและให้พลังกับเรื่องที่แตกต่างกันได้อย่างใด

ในส่วนของทีมนักแสดงสำหรับ​ “คือผู้อภิวัฒน์” ในวาระนี้นั้น ก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยพลังของการแสดงรวมทั้งจังหวะการโต้ตอบและรับส่งบทไปมานั้น มีความต่อเนื่องและเฉียบคมค่อนข้างสูง ซึ่งกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ละครเรื่องนี้ดูฮึกเหิมและคึกคักอยู่ตลอด

สำหรับผู้เขียนแล้ว “คือผู้อภิวัฒน์” คือหนึ่งในละครสมัยใหม่ที่มีความโดดเด่นทั้งในเชิงวรรณกรรมและเชิงศิลปะการแสดงค่อนข้างสูง และไม่น่าแปลกที่มันจะถูกนำมาแสดงครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่ผู้ชมดูกี่ครั้งก็จะไม่รู้สึกเบื่อ แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังและแรงบันดาลใจที่จะทำให้ก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตบางอย่าง เฉกเช่นกับพลังและอุดมการณ์ของคน ๆ หนึ่งที่หมายว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้นเพื่อคนไทยทุกคน

นี่อาจจะไม่ใช่ละครที่ดูแล้วรู้สึกสบาย รู้สึกยิ้มเปรมปรีย์ มีหลายช่วงที่อาจจะรู้สึกสะเทือนใจหรือกดดันมากพอสมควร แต่อย่างไรซะ ในท้ายที่สุดละครจะพาผู้ชมไปสู่จุดที่ค้นพบแสงสว่างและความหวัง และที่สำคัญซึ่งอาจจะเหมาะเจาะกับช่วงเวลาปัจจุบัน คือความหมายที่แท้จริงของ “ประชาธิปไตย” รวมทั้ง สาเหตุและสิ่งที่ต้องแลกมาเพื่อสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยทุกคน ซึ่งผู้เขียนคิดว่าคือหนึ่งในสิ่งที่เราทุกคนควรสำรวจและคิดทบทวนกันเสียแล้วก่อนที่เราจะต้องเจอบทเรียนแสนบอบช้ำจากประชาธิปไตยที่เอามาอ้างกันอีกสักเท่าไรกัน

ขอขอบคุณ:
เว็บไซด์วิจารณ์แบบไร้ปราณี และ nuttaputch

ภาพถ่ายโดย:
ทวิทธิ์ เกษประไพ

10 July 2010

คือผู้อภิวัฒน์ : สัจธรรมอมตะที่มิอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

ละครเวทีเรื่องล่าสุดของเรา "คือผู้อภิวัฒน์" ได้แสดงจบลงไปแล้ว แต่เรายังมีข้อความและบทวิจารณ์ที่ผู้ชมและนักวิจารณ์เขียนถึง เราจะนำมาแบงปันมาให้อ่านกันที่นี่เร็วๆนี้


หัวข้อข้างบนนี้เป็นข้อเขียนจากบันทึกในเฟซบุคของ คุณดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ นักการละครและผู้กำกับละครเวทีจากกลุ่ม New Theatre Society ที่เขียนถึง "คือผู้อภิวัฒน์" ในคราวนี้




คือผู้อภิวัฒน์
: สัจธรรมอมตะที่มิอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

เขียนโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์




เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไปสถาบันปรีดีฯ ซอยทองหล่อ – สถานที่หนึ่งซึ่งอาจเรียกได้ว่า...ถ้าสมมุติว่ามีระเบิดลงคนทำละครเวทีเมืองไทยจะหายไปครึ่งประเทศ วันนั้นเป็นรอบสุดท้ายของละครเรื่อง “สุดทางที่บางแคร์” พอดี อันที่จริงในฐานะที่ผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งของแก๊งค์นี้ ผมควรจะอยู่ดูและร่วมชื่นชมด้วย แต่เนื่องจากผมดูแล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าควรจะเว้นที่ว่างให้ผู้ชมที่ยังไม่ดูดีกว่า ก็เลยเข้าไปดูการซ้อมละครเรื่อง “คือผู้อภิวัฒน์” แทน เพราะไม่แน่ใจว่าอาทิตย์หน้าจะมีเวลามาดูการแสดงรอบจริงได้หรือไม่ และเมื่อได้เข้าไปนั่งดู ก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอันมากที่นักแสดงทั้งหมดเล่นละครทั้งเรื่องแบบทุ่มตัวสุดตีนให้ผมดูเพียงคนเดียว ส่วนคุณสินีนาฏผู้กำกับก็วิ่งไปวิ่งมาคอยเคาะเสียงประกอบให้ด้วยความเครียด นับว่าเป็นเกียรติและโอกาสที่งดงามอย่างยิ่งที่ใครๆจะหาได้ไม่ง่ายนัก อิอิ

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผมจะกล่าวถึง เพราะสิ่งที่คันปากอยากบอกจนต้องลงมือเขียนบันทึกฉบับนี้ไว้ก็คือ ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่หัวใจพอโตต่อการได้กลับมาดูละครเรื่องนี้อีกครั้ง หลังจากได้เคยร่วมงานในฐานะฝ่ายเสียงในการจัดแสดงละครเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อ 23 ปีก่อน และเป็นคนตีกลองในการจัดแสดงครั้งที่สองใน 10 ปีต่อมา ผมรู้สึกว่าละครเรื่องนี้มันทรงอานุภาพมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าหน้าตานักแสดงและทีมงานจะเปลี่ยนไปกี่รุ่น หรือรายละเอียดปลีกย่อยจะมีความแตกต่างไปบ้างเล็กน้อยก็ตาม แต่ความรู้สึกที่ละครเรื่องนี้มาปะทะเรามันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน แถมยังบาดลึกกินใจมากขึ้นไปทุกทีที่ได้ดูทุกครั้งที่ละครเรื่องนี้กลับมาเล่น ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะว่าเราเคยเป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้ หรือจะเป็นเพราะเราแก่ตัวลง...ก็มิอาจทราบได้ แต่เท่าที่คิดว่าทราบแน่ๆก็คือ ถึงแม้ว่าบทละครยังคงเหมือนเดิมจนผมยังจำได้แทบทุกตอน หรือรูปแบบการแสดงที่ยังคงเรียบ(แต่ไม่ง่าย)เหมือนเดิม แต่ท่ามกลางความ “เหมือนเดิม” ทั้งหมดนั้น “ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจริงๆตามกาลเวลา” ดังที่ละครบอกจริง ๆ ถึงแม้มันไม่ได้เปลี่ยนที่ตรงการแสดง แต่สิ่งที่เราได้ดูนั้น กลับทำให้เราเปลี่ยนแปลงมากกว่า อย่างน้อยก็ตรงความคิดของบทที่จี้ความคิดและความรู้สึกของเราล่ะ ผมรู้สึกว่าสารของเรื่องที่ผมได้ดูในครั้งนี้นั้นมันกลับทรงพลังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ และผมรู้สึกได้ว่าพลังที่ว่านี้ได้แผ่ขยายมากยิ่งขึ้นไปทุกที โดยเฉพาะเมื่อยุคสมัยของเราได้มีโอกาสผ่านร้อนผ่านหนาวกับสถานการณ์ต่าง ๆ รอบข้างที่ดูเหมือนจะเป็นบทเรียนที่ดี แต่เราไม่เคยรู้จัดหัดจดจำ เรามีประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้ แต่เราก็ยังคงดูเหมือนติดหลงอยู่ในวังวนไม่ไปไหน และนี่ก็คงเป็นสัจจธรรมอย่างหนึ่งที่ละครเรื่องนี้มีให้โดยไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเหมือนที่ละครบอกเรา ที่สำคัญ ความแหลมคมของโครงสร้างและความคมคายของเนื้อหาของบทละครเรื่องนี้ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีมิติพอดีพองาม ทำให้ผมเชื่อว่าคนที่ได้ดูละครเรื่องนี้ในปี พ.ศ.นี้ คงไม่ได้มองละครเรื่องนี้ว่าเป็นเพียงแค่การแสดงที่มุ่งเล่าเรื่องให้เห็นประวัติชีวิตของรัฐบุรุษที่ชื่อปรีดี พนมยงค์อีกต่อไปเป็นแน่ แต่กลับจะยิ่งทำให้เราเห็น “มนุษยธรรม” ของคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งแน่นอน ผมเชื่อว่าสิ่งนั้นได้ตั้งคำถามกลับมายังเราในฐานะผู้ชมว่าเราคือใคร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และเราได้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ควรค่าในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่แล้วหรือยัง ฯลฯ

สรุป (เพราะไม่อยากเขียนยาว) ถึงแม้ว่าโดยรูปแบบการนำเสนอของละครเรื่องนี้ไม่ได้มุ่งเร้าอารมณ์ของผู้ชมตามสไตล์ที่ละครเรื่องนี้มีมาแต่กำเนิด แต่ผมขอสารภาพว่าในขณะดูผมฟูมฟายเป็นอันมากทั้งในระดับความคิด ความรู้สึก และอาจจะสั่นสะเทือนลึกลงไปถึงระดับจิตวิญญาณตามทฤษฎีของท่านอริสโตเติลไปด้วยเป็นแน่ และผมแอบหวังอยู่ในใจลึก ๆ ด้วยว่า คนที่ได้ดูละครเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร หรือคิดยังไง อย่างน้อยก็น่าจะมีคนที่อาจจะรู้สึกเหมือนกับผมบ้างเหมือนกัน...ไม่มากก็น้อย...ก็ยังดี อิอิ

ขอพล่ามแค่นี้ก่อน พล่ามมากเดี๋ยวจะหาว่าเชียร์แอนด์สปอยด์ ไว้ไปดูเองก็แล้วกัน แล้วท่านจะจดจำละครเรื่อง “คือผู้อภิวัฒน์” ไปนานแสนนานตราบจนชีวิตจะหาไม่ ^^

ด้วยความคารวะต่อท่านปรีดี พนมยงค์ คือผู้อภิวัฒน์
และขอกราบงาม ๆ แด่พี่คำรณ คุณะดิลก ผู้สร้างบทและการแสดงละครเรื่องนี้
สินีนาฎ, นักแสดง, ทีมงาน...จงสู้เข้าไป อย่าได้ถอย ฯลฯ

ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
28 มิถุนายน 2553



ขอขอบคุณ:
บทความจาก คุณดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
ภาพถ่ายโดย คุณธเนศ ม่วงทอง

02 July 2010

“คือผู้อภิวัฒน์” วาระห้า

การกลับมาอีกครั้งกับการทำงานของนักแสดงรุ่นที่ 5

ปี 2553 นี้เป็นปีวาระครบรอบ 110 ชาตกาล รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เป็นปีครบรอบ 78 ปี การอภิวัฒน์ไทย ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ครบรอบ ๑๕ ปี สถาบันปรีดี พนมยงค์‏ และยังเป็นการแสดงในพิธีเปิดห้องนิทรรศการ “ห้องแห่งแรงบันดาลใจ ปรีดี พนมยงค์” ซึ่งจะเป็นห้องนิทรรศการถาวรที่เปิดให้เยาวชนและผู้สนใจเข้าชมและหาความรู้เกี่ยวกับ อ.ปรีดี พนมยงค์ และขบวนการเสรีไทย





ครั้งนี้เราได้นักแสดงจากรุ่นที่สี่มาร่วมแสดงสามคน คือ เกรียง ไกร ฟูเกษม กวินธร แสงสาคร และ ศรวณี ยอดนุ่น นอกนั้นเป็นสมาชิกรุ่นใหม่ของพระจันทร์เสี้ยวการละครอีก 5 คน คือ จิรฏชพงศ์ เรืองจันทร์ สุกัญญา เพี้ยนศรี สุรชัยเพชรแสงโรจน์ อรุณโรจน์ ถมมา และ จีรณัทย์ เจียรกุล และเราได้เปิด Workshop Audition เพื่อคัดเลือกหานักแสดงเพิ่มมาอีก 4 คน คือ ลัดดา คงเดช คฑาวุธ ดวงอินทร์ วงศิริ ดีระพัฒน์ และ ช่อลดา สุริยะโยธิน ที่นอกจากเป็นนักแสดงแล้วยังเป็นผู้ฝึกเสียงและการร้องเพลงในครั้งนี้



เราทำการฝึกซ้อมและทำความเข้าใจบท การค้นคว้าอ่านข้อมูลเพิ่มเติมรวมกระบวนการทั้งหมดใช้เวลา 3 เดือน ในกระบวนการฝึกซ้อมเราเน้นกระบวนการฝึกฝนตามแนวทางละครแบบพระจันทณ์เสี้ยวที่เน้น Group Dynamic การฝึกร่างกาย เสียง และการเคลื่อนไหว Force and Dynamic และการเชื่อมประสานทกายและจิต



เรื่องดนตรีเราได้ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเพื่อสร้างสีสัน การทำให้แปลก และช่วยขับเน้นความหมายให้กับเรื่อง การดูแลดนตรีในครั้งนี้คือ คานธี อนันตกาญจน์ รวมทั้งเล่นฟลุตประกอบ เราได้ พฤฒิรณ นันทโววาทย์ มาเป็นมือกลองให้กับเรา ส่วนเสียงกลองทัดตามแบบอย่างออริจินอลเวอร์ชั่นครั้งนี้ตีโดย เบญจ์ บุษราคัมวงศ์

ในวาระนี้เราเปิดทำการแสดงทั้งหมดที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ จำนวน 6 รอบการแสดง พิเศษหลังรอบบ่ายเสาร์-อาทิตย์ มีเสวนาหลังละคร “คนกับละคร...ละครกับสังคม” ขอเชิญร่วมพูดคุยกับ คำรณ คุณะดิลก, สินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย และผู้กำกับในครั้งนี้ สินีนาฏ เกษประไพ ในวันเสาร์ 3 มิ.ย.2553 ดำเนินรายการโดย อ.ภาสกร อินทุมาร ส่วนวันอาทิตย์ 4 มิ.ย.2553 ดำเนินรายการโดย อ.อภิรักษ์ ชัยปัญหา และเราจะเดินทางไปสัญจรที่คณะมนุษยศษสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อีก 2 รอบ ในเดือนสิงหาคม 2553 นี้


ขอขอบคุณ ครูคำรณ คุณะดิลก ที่สร้างงานที่มีคุณค่าไว้ให้กับเรา เป็นครูและเป็นที่ปรึกษาให้เราเสมอมา ขอบคุณคุณนักแสดงและทีมงาน รวมทั้งพี่ๆเพื่อนๆน้องๆละคร “คือผู้อภิวัฒน์” และ พระจันทร์เสี้ยวทุกรุ่นที่ช่วยงานและให้กำกลังใจในการทำงานครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

กำกับ
สินีนาฏ เกษประไพ

นักแสดง
ปรีดี เกรียงไกร ฟูเกษม
มโน,ท่านเจ้าคุณ กวินธร แสงสาคร
แปลก, สาย สีมา ภูมิฐาน ศรีนาค
ประยูร, อ๊อด สุรชัย เพชรแสงโรจน์
พหล จีรณัทย์ เจียรกุล
ทรง, เพิ่ม คฑาวุธ ดวงอินทร์
ผู้บรรยาย, แม่พลอย ศรวณี ยอดนุ่น
ผู้บรรยาย, พี่ ตุลาคม สุกัญญา เพี้ยนศรี
ผู้บรรยาย, น้อง ตุลา อรุณโรจน์ ถมมา
พูนศุข ช่อลดา สุริยะโยธิน
เล่านิทาน, ผู้บรรยาย ลัดดา คงเดช
ผู้บรรยาย, เล็ก วรศิริ ดีระพัฒน์

นักดนตรี
คานธี อนันตกาญจน์
พฤฒิรณ นันทโววาทย์
เบญจ์ บุษราคัมวงศ์


ทีมงาน
ผู้เขียนบท คำรณ คุณะดิลก
ผู้กำกับการแสดง สินีนาฏ เกษประไพ
ผู้กำกับเทคนิค/ออกแบบแสง ทวิทธิ์ เกษประไพ
ผู้ช่วยผู้กำกับ เกรียงไกร ฟูเกษม, กวินธร แสงสาคร
ผู้กำกับเวที เบญจ์ บุษราคัมวงศ์
ฝึกเสียงและสอนร้องเพลง ช่อลดา สุริยะโยธิน
กำกับดนตรี คานธี อนันตกาญจน์
นักดนตรี คานธี อนันตกาญจน์, พฤฒิรณ นันทโววาทย์
ผู้ประสานงาน/อุปกรณ์ประกอบ ชาคริยา ถิ่นจะนะ
ออกแบบเสื้อผ้า ประวิทย์ หิรัญพฤกษ์
ประชาสัมพันธ์ วรัญญู อิทรกำแหง
ควบคุมแบบแสง สุมนา สุมนะกุล
ควบคุมเสียง พงศกร ตรีหิรัญ
ฝ่ายบัตร ดลฤดี จำรัสฉาย, ชาครยา ถิ่นจะนะ

ฝ่ายต้อนรับ ณัชศลิษฏา วัลย์ณัฐประภา, กีรติ ศิวะเกื้อ
ฝ่ายเทคนิค ชัยวัฒน์ คำดี, พลัฏ สังขกร, ฉันทิกา โชติขจรไทย
ถ่ายวิดิโอ สุเมธ พวงอก, เสี้ยวเขนโปรัดกชั่น
ถ่ายภาพ จีรณัทย์ เจีบรกุล และ วิชย อาทมาท
ออกแบบสิ่งพิมพ์ วิชย อาทมาท
ดูแลการผลิต ฟารีดา จิราพันธุ์ และ พระจันทร์เสี้ยวการละคร


30 June 2010

“คือผู้อภิวัฒน์” ในวาระที่สี่




ปี 2543 พระจันทร์เสี้ยวการละครได้ฝึกนักแสดงรุ่นใหม่อีก 12 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นนักศึกษาจากหลายสถาบันที่มีความสนใจละครที่มีเนื้อหาสาระเข้มข้นเข้าเป็นสมาชิกและเพื่อแสดง “คือผู้อภิวัฒน์” ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ และสัญจรไปต่างจังหวัดได้แก่ อยุธยา ชลบุรี และ นครศรีธรรมราช โดยในครั้งนี้การฝึกฝนเป็นการฝึกฝนพื้นฐานสำคัญและมีการปรับด้านการแสดงบ้างตามความเหมาะสม และเน้นการเล่าเรื่องที่กระชับฉับไวมากขึ้น

กำกับ :
นิมิตร พิพิธกุล และ พิณทิพย์ สัตย์เพริศพราย

นักแสดง :
ปรีดี เกรียงไกร ฟูเกษม
ทรง ประวิทย์ หิรัญพฤกษ์
แปลก กวินธร แสงสาคร
ประยูร ธนาคม ชราปธีป
พลอย นริศรา สนเอี่ยม
ช้อย พัชรินทร์ นามโสม
ผู้บรรยาย ฉัตรชัย พุดซ้อน
พูนศุข ศรวณี ยอดนุ่น
สาย สีมา ทศพร มงคล
คึกฤทธิ์ สุธิชา ภิรมย์นุ่ม
พหล เดชอุดม ชูดำ
มโน ธเนศ ม่วงทอง

นักดนตรี :
ปิติพงษ์ งามญาน

แสดงที่สถาบันปรีดี พนมยงค์, จ.อยุธยา, จ.นครศรีธรรมราช และ จ.ชลบุรี

28 June 2010

“คือผู้อภิวัฒน์” สัญจรต่างประเทศ

หลังเสร็จสิ้นจากกากรแสดงที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ 11 รอบ พระจันทร์เสี้ยวการละครได้มีโอกาสเดินทางไปเปิดการแสดงในทวีปยุโรป 3 ประเทศด้วยกัน โดยเริ่มต้นที่ประเทศฝรั่งเศสซึ่งอาจารย์ปรีดี พนมืยงค์ได้จัดประชุมก่อตั้งคณะราษฎรเป็นครั้งแรก และเป็นประเทศแม่แบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แล้วเดินทางต่อไปยังกรุงอัมสเตอร์ดามประเทศเนเธอร์แลนด์ หลังจากการแสดงได้มีการใช้เนื้อหาในละครเป็นประเด็นในการ และ Dr.Han ten Brummelhuis ที่ปรึกษาไทยคดีศึกษาประจำประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นผู้นำการเสวนา

จุดสุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้คือกรุงสต็อกโฮล์มประเทศสวีเด็น ที่ที่มีคนไทยอาศัยเป็นจำนวนมาก และมีความกระตือรือร้นในการลงคะแนนเสียงมวลชนในท้องถิ่นเป็นอย่างดี และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากกลุ่มศาลาไทยและกลุ่มไทยศึกษา





กำหนดการ :
30 มิถุนายน 2542 Salle Municipelle e’me Arroumdissement, Paris, France
4 กรกฎาคม 2542 Dee Rode Hoed Theatre, Amsterdam, The Netherlands
9-10 กรกฎาคม 2542 Boulevard Theatern, Stockholm, Sweden




ต่อจากนั้นได้เดินทางไปเปิดการแสดงที่สหรัฐอเมริกา ใน 4 รัฐ ได้แก่ ลอสแองเจอลิส, ซานฟรานซิสโก, ชิคาโก และ นิวยอร์ค โดยได้รับการต้อนรับจากชุมชนคนไทยที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นอย่างดี และมีผู้สนใจมาชมการแสดงอย่างคับคั่ง และกลับมาทัวร์ในต่างจังหวัดอีกหลายจังหวัดในปี 2543


กำหนดการ :
19 มีนาคม 2543 แสดงที่ ลอสแองเจิลลิส
23 มีนาคม 2543 แสดงที่ซานฟรานซิสโก
25 มีนาคม 2543 แสดงที่ชิคาโก
1 เมษายน 2543 แสดงที่นิวยอร์ค




“คือผู้อภิวัฒน์” (วาระที่สาม)

แสดงในวาระ 100 ปี ชาตกาล

พ.ศ.2542 ละครเวที คือผู้อภิวัฒน์ ได้นำกลับมาแสดงอีกครั้งหนึ่งในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสคนแรกของไทย ที่จะมาถึงในวันที่ 11 พฤษภาคม 2543 เพื่อร่วมในโอกาสนี้ โดย “คณะกรรมการจัดงานฉลอง 100 ปีชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส” ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมกับ “พระจันทร์เสี้ยวการละคร” เป็นผู้จัดขึ้น
การนำกลับมาแสดงใหม่ในวาระนี้เริ่มต้นเปิดกากรแสดงในวันที่ 26-28 กุมภาพันธ์ และ 5-7 มีนาคม พ.ศ. 2542 ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ นับเป็นหนึ่งในโครงการนำร่องสู่การร่วมฉลองครบรอบ 100 ปีชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส

มีการปรับชื่อละครจาก คือผู้อภิวัฒน์ มาเป็น คือผู้อภิวัฒน์ 2475 เพื่อเน้นย้ำต่อเหตุการณ์และจุดแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอบอันส่งผลมาถึงวิถีชีวิตในปัจจุบัน ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย


คือ ผู้อภิวัฒน์ 2475 มีการตีความใหม่เพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยมี “นิมิตร พิพิธกุล” ผู้ได้ร่วมงามกับละครเรื่องนี้ มาแต่เริ่มต้นทำหน้าที่เป็นผู้กำกับการแสดง

กำหนดการแสดง
26,27,28 กุมภาพันธ์ และ 5,6,7 มีนาคม 2542
แสดงที่ สถาบันปรีดี พนมยงค์
ตลอดทั้งปี 2542 และ 43
แสดงอีกหลายแห่งในหลายจังหวัดจังหวัด ได้แก่ หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รังสิต), เชียงใหม่, นครราชสีมา, กาญจนบุรี, อยุธยา, สงขลา, อุบลราชธานี

กำกับ :
นิมิตร พิพิธกุล

นักแสดง :
ปรีดี นิมิตร พิพิธกุล
มโน สุนทร มีศรี
คนเล่าเรื่อง, พูนศุข พิณทิพย์ สัตย์เพริศพราย
ผู้บรรยาย,พลอย สินีนาฏ เกษประไพ
แปลก, สาย สีมา ธีระวัฒน์ มุลวิไล
ผู้บรรยาย, พี่ตุลา ผิวน้ำ เฉลิมญาติ
ผู้บรรยาย, น้องตุลา ฟารีดา จิราพันธุ์
ทรง วัลลภ แสงจ้อย
พหล ปกรณ์ รังสิตเสถียร
ประยูร, เพิ่ม ชาติชาย เกษนัส
เล็ก วรลักษณ์ แซ่จึง
ผู้บรรยาย พฤษา รุ่งแสง
ทรง รุจิโรจน์ ธนสารกิตติวัฒน์

นักดนตรี :
อานันท์ นาคคง
หิรัญ บุญชื่น

ทีมงาน :
ออกแบบแสง ทวิทธิ์ เกษประไพ
เครื่องแต่งกาย สหวัฏฏ์ ศรีหิรัญ, ยอดเมือง อร่ามเรืองไพศาล
ควบคุมแสง กมลนัฐฏ์ อินทรตั้ง
ควบคุมเสียง รุจิโรจน์ ธนสารกิตติวัฒน์, กานต์ ธงไชย
ภาพนิ่ง Stephan Funke, พงษ์สิทธิ์ ศิลปสุวรรณชัย, คมกริช ฟักมูล, ทวิทธิ์ เกษประไพ
ประชาสัมพันธ์ กวินพร เจริญศรี, ปัฏฐยา โอฟริต, วินิจ มีรอด
ฝึกขับร้อง ปาริชาติ จันทร์ไทย
กำกับเวที สินีนาฏ เกษประไพ
ดูแลการผลิต พิณทิพย์ สัตย์เพริศพราย

27 June 2010

คือผู้อภิวัฒน์วาระสอง

เกี่ยวกับละคร “คือผู้อภิวัฒน์”
(ในวาระที่สอง)


8 ปีต่อมา ละคร “คือผู้อภิวัฒน์” กลับมาแสดงอีกครั้งในวาระพิธีเปิดสถาบันปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ 24-25 มิถุนายน 2538 ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ และได้รับเชิญเข้าร่วมในเทศกาลละครครั้งที่ 1 ณ ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแสงอรุณ ในวันที่ 28-29 มิถุนายน และ 5-6 กรกฎาคม โดยทีมนักแสดงรุ่นใหม่ ยกเว้น “นิมิตร พิพิธกุล” สมาชิกจากกลุ่ม “นักแสดงไร้ชื่อ” ที่กลับมาร่วมในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับการแสดงและผู้จัดการโครงการด้วย การแสดงยังคงรูปแบบเหมือนเดิมทุกอย่าง และใช้เวลาในการผึกซ้อมนักแสดงเพียง 3 เดือนเท่านั้น

กำหนดการ :
24-25 มิถุนายน 2538
สถาบันปรีดี พนมยงค์ กรุงเทพฯ

28-29 มิถุนายน และ 5-6 กรกฎาคม 2538
ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแสงอรุณ กรุงเทพฯ

ทีมงาน :
กำกับการแสดง คำรณ คุณะดิรก

นักแสดง :
ปรีดี อภิศักดิ์ สนจด
ทรง ศราวุธ ส่งศรี
แปลก นิมิตร พิพิธกุล
พหล กอบชัย ชูโต
มโน อดิศร(อั๋น)

สาย สีมา เอกชัย เอื้อธารพิสิฐ
พูนศุข รัชนี วิศิษฎ์วโรดม
พลอย ธีรนันท์ นาคทอง
เล็ก กิ่งแก้ว รณศิริ
คนเล่าเรื่อง ลักษนันท์ โกสินทรกุล
ผู้บรรยาย,พี่ตุลา ชวนพิศ ธีรบุญชัยกุล
น้องตุลา บุศราพร ทองมั่น

ช่วยกำกับการแสดง นิมิตร พิพิธกุล
กำกับเวที ดวงพร เรืองอำไพภัทร
ดวงกมล โพธิ์ปริสุทธิ์
อุปกรณ์ประกอบฉาก กอบชัย ชูโต
ดวงกมล โพธิ์ปริสุทธิ์
ฉาก ปริญญา สุทธิประเสริฐ
เจษฎธวัช ชวนะพงศ์
นรเศรษฐ์ สุภัณวงษ์
เมธา สกุลช่างสัจจะทัย

ละครเวที “คือผู้อภิวัฒน์” รอบปกติ


ละครเวทีสร้างสรรค์....ที่ไม่ธรรมดา
เรื่องราวชีวประวัติ รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์


“คือผู้อภิวัฒน์”

ละครเวทีร่วมสมัยที่นำกลับมาแสดงมากครั้งที่สุดของพระจันทร์เสี้ยวการละคร เป็นบทละครเวทีที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดของละครไทยในแนวทาง Breachtian และเป็นละครเวทีเพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยที่เข้มข้นทั้งความคิดและรูปแบบการนำเสนอ
ร่วมแสดงในวาระครบรอบชาตกาล ๑๑๐ ปีรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ ครบรอบ๗๘ ปี การอภิวัฒน์ไทย ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ครบรอบ ๑๕ ปี สถาบันปรีดี พนมยงค์‏ และพิธีเปิดห้องนิทรรศการ “ห้องแห่งแรงบันดาลใจ ปรีดี พนมยงค์”

จัดแสดง ณ หอประชุม สถาบันปรีดี พนมยงค์
แสดงวันที่ 2, 3 และ 4 กรกฏาคม 2553 (รวม 5 รอบ)
เวลา 19.30 / เสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบ 14.30 น.

และจะเดินทางไปสัญจรแสดงที่ม.ช. อีก 2 รอบ ในเดือนสิงหาคม 2553 นี้

บัตรราคา 300 บาท (นักเรียน,นักศึกษา 250 บาท)
สำรองที่นั่งได้ที่ 083 995 6040 และ 081 525 7671

พิเศษ... หลังรอบบ่ายเสาร์-อาทิตย์ มีเสวนาหลังละคร
“คนกับละคร...ละครกับสังคม”
ร่วมพูดคุยกับ คุณคำรณ คุณะดิลก, คุณสินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย และ คุณสินีนาฏ เกษประไพ
วันเสาร์ 3 มิ.ย.2553 ดำเนินรายการโดย อ.ภาสกร อินทุมาร
วันอาทิตย์ 4 มิ.ย.2553 ดำเนินรายการโดย อ.อภิรักษ์ ชัยปัญหา