หัวข้อข้างบนนี้เป็นข้อเขียนจากบันทึกในเฟซบุคของ คุณดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ นักการละครและผู้กำกับละครเวทีจากกลุ่ม New Theatre Society ที่เขียนถึง "คือผู้อภิวัฒน์" ในคราวนี้
คือผู้อภิวัฒน์
: สัจธรรมอมตะที่มิอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
เขียนโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไปสถาบันปรีดีฯ ซอยทองหล่อ – สถานที่หนึ่งซึ่งอาจเรียกได้ว่า...ถ้าสมมุติว่ามีระเบิดลงคนทำละครเวทีเมืองไทยจะหายไปครึ่งประเทศ วันนั้นเป็นรอบสุดท้ายของละครเรื่อง “สุดทางที่บางแคร์” พอดี อันที่จริงในฐานะที่ผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งของแก๊งค์นี้ ผมควรจะอยู่ดูและร่วมชื่นชมด้วย แต่เนื่องจากผมดูแล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าควรจะเว้นที่ว่างให้ผู้ชมที่ยังไม่ดูดีกว่า ก็เลยเข้าไปดูการซ้อมละครเรื่อง “คือผู้อภิวัฒน์” แทน เพราะไม่แน่ใจว่าอาทิตย์หน้าจะมีเวลามาดูการแสดงรอบจริงได้หรือไม่ และเมื่อได้เข้าไปนั่งดู ก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอันมากที่นักแสดงทั้งหมดเล่นละครทั้งเรื่องแบบทุ่มตัวสุดตีนให้ผมดูเพียงคนเดียว ส่วนคุณสินีนาฏผู้กำกับก็วิ่งไปวิ่งมาคอยเคาะเสียงประกอบให้ด้วยความเครียด นับว่าเป็นเกียรติและโอกาสที่งดงามอย่างยิ่งที่ใครๆจะหาได้ไม่ง่ายนัก อิอิ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผมจะกล่าวถึง เพราะสิ่งที่คันปากอยากบอกจนต้องลงมือเขียนบันทึกฉบับนี้ไว้ก็คือ ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่หัวใจพอโตต่อการได้กลับมาดูละครเรื่องนี้อีกครั้ง หลังจากได้เคยร่วมงานในฐานะฝ่ายเสียงในการจัดแสดงละครเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อ 23 ปีก่อน และเป็นคนตีกลองในการจัดแสดงครั้งที่สองใน 10 ปีต่อมา ผมรู้สึกว่าละครเรื่องนี้มันทรงอานุภาพมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าหน้าตานักแสดงและทีมงานจะเปลี่ยนไปกี่รุ่น หรือรายละเอียดปลีกย่อยจะมีความแตกต่างไปบ้างเล็กน้อยก็ตาม แต่ความรู้สึกที่ละครเรื่องนี้มาปะทะเรามันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน แถมยังบาดลึกกินใจมากขึ้นไปทุกทีที่ได้ดูทุกครั้งที่ละครเรื่องนี้กลับมาเล่น ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน อาจจะเป็นเพราะว่าเราเคยเป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้ หรือจะเป็นเพราะเราแก่ตัวลง...ก็มิอาจทราบได้ แต่เท่าที่คิดว่าทราบแน่ๆก็คือ ถึงแม้ว่าบทละครยังคงเหมือนเดิมจนผมยังจำได้แทบทุกตอน หรือรูปแบบการแสดงที่ยังคงเรียบ(แต่ไม่ง่าย)เหมือนเดิม แต่ท่ามกลางความ “เหมือนเดิม” ทั้งหมดนั้น “ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจริงๆตามกาลเวลา” ดังที่ละครบอกจริง ๆ ถึงแม้มันไม่ได้เปลี่ยนที่ตรงการแสดง แต่สิ่งที่เราได้ดูนั้น กลับทำให้เราเปลี่ยนแปลงมากกว่า อย่างน้อยก็ตรงความคิดของบทที่จี้ความคิดและความรู้สึกของเราล่ะ ผมรู้สึกว่าสารของเรื่องที่ผมได้ดูในครั้งนี้นั้นมันกลับทรงพลังยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ และผมรู้สึกได้ว่าพลังที่ว่านี้ได้แผ่ขยายมากยิ่งขึ้นไปทุกที โดยเฉพาะเมื่อยุคสมัยของเราได้มีโอกาสผ่านร้อนผ่านหนาวกับสถานการณ์ต่าง ๆ รอบข้างที่ดูเหมือนจะเป็นบทเรียนที่ดี แต่เราไม่เคยรู้จัดหัดจดจำ เรามีประวัติศาสตร์ให้เรียนรู้ แต่เราก็ยังคงดูเหมือนติดหลงอยู่ในวังวนไม่ไปไหน และนี่ก็คงเป็นสัจจธรรมอย่างหนึ่งที่ละครเรื่องนี้มีให้โดยไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเหมือนที่ละครบอกเรา ที่สำคัญ ความแหลมคมของโครงสร้างและความคมคายของเนื้อหาของบทละครเรื่องนี้ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีมิติพอดีพองาม ทำให้ผมเชื่อว่าคนที่ได้ดูละครเรื่องนี้ในปี พ.ศ.นี้ คงไม่ได้มองละครเรื่องนี้ว่าเป็นเพียงแค่การแสดงที่มุ่งเล่าเรื่องให้เห็นประวัติชีวิตของรัฐบุรุษที่ชื่อปรีดี พนมยงค์อีกต่อไปเป็นแน่ แต่กลับจะยิ่งทำให้เราเห็น “มนุษยธรรม” ของคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งแน่นอน ผมเชื่อว่าสิ่งนั้นได้ตั้งคำถามกลับมายังเราในฐานะผู้ชมว่าเราคือใคร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และเราได้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ควรค่าในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่แล้วหรือยัง ฯลฯ
สรุป (เพราะไม่อยากเขียนยาว) ถึงแม้ว่าโดยรูปแบบการนำเสนอของละครเรื่องนี้ไม่ได้มุ่งเร้าอารมณ์ของผู้ชมตามสไตล์ที่ละครเรื่องนี้มีมาแต่กำเนิด แต่ผมขอสารภาพว่าในขณะดูผมฟูมฟายเป็นอันมากทั้งในระดับความคิด ความรู้สึก และอาจจะสั่นสะเทือนลึกลงไปถึงระดับจิตวิญญาณตามทฤษฎีของท่านอริสโตเติลไปด้วยเป็นแน่ และผมแอบหวังอยู่ในใจลึก ๆ ด้วยว่า คนที่ได้ดูละครเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร หรือคิดยังไง อย่างน้อยก็น่าจะมีคนที่อาจจะรู้สึกเหมือนกับผมบ้างเหมือนกัน...ไม่มากก็น้อย...ก็ยังดี อิอิ
ขอพล่ามแค่นี้ก่อน พล่ามมากเดี๋ยวจะหาว่าเชียร์แอนด์สปอยด์ ไว้ไปดูเองก็แล้วกัน แล้วท่านจะจดจำละครเรื่อง “คือผู้อภิวัฒน์” ไปนานแสนนานตราบจนชีวิตจะหาไม่ ^^
ด้วยความคารวะต่อท่านปรีดี พนมยงค์ คือผู้อภิวัฒน์
และขอกราบงาม ๆ แด่พี่คำรณ คุณะดิลก ผู้สร้างบทและการแสดงละครเรื่องนี้
สินีนาฎ, นักแสดง, ทีมงาน...จงสู้เข้าไป อย่าได้ถอย ฯลฯ
ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์
28 มิถุนายน 2553
ขอขอบคุณ:
ภาพถ่ายโดย คุณธเนศ ม่วงทอง
No comments:
Post a Comment