Showing posts with label ชมรมพระจันทร์เสี้ยว. Show all posts
Showing posts with label ชมรมพระจันทร์เสี้ยว. Show all posts

22 August 2009

เมื่อพระจันทร์คืนเสี้ยว

เมื่อพระจันทร์ 'คืน' เสี้ยว
(ภาคต่อของ “พระจันทร์เสี้ยวการละคอน มุมสะท้อนวิญญาณประชาธิปไตย”
โดย รวินทร์ คำโพธิ์ทอง)


๑๐ ปีต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ คำรณ คุณะดิลก ได้เดินทางกลับประเทศไทยแล้วสร้างสรรค์ละครเวทีสามัญชน เรื่อง "คือผู้อภิวัฒน์" อันเป็นเรื่องราวของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ในนามของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยว พร้อมทั้งลบคำสบประมาทที่วิจารณ์ว่าละครเวทีไทยยังอ่อนด้อยและขาดไร้ประสบการณ์ลงได้อย่างสิ้นเชิง

ปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๘ คำรณ คุณะดิลก ได้ชักนำหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งที่สนใจสร้างงานละครเวทีอย่างเป็นอาชีพในนาม "พระจันทร์เสี้ยวการละคอน" ร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมแสงอรุณ เข้ามาช่วยผลักดันกระตุ้นจนเกิดความตื่นตัวให้กับวงการละครเวทีไทยอีกครั้ง และมีผลงานละครเวทีออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ กูชื่อพญาพาน, ความฝันกลางเดือนหนาว, ผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ, มาดามเหมา, กระโจมไฟ, ตลิ่งสูงซุงหนัก, พระมะเหลเถไถ, คำปราศรัยของนาย ก. ฯลฯ (13) จวบจนปัจจุบันผลงานละครเวทีของ "พระจันทร์เสี้ยวการละคอน" ซึ่งทอดส่งมายังนักการละครรุ่นใหม่นั้นเป็นที่ยอมรับจากทั้งในและต่างประเทศ

ณ วันนี้เสี้ยวแสงแห่งรัตติกาลยังคงทอฉายด้วยศรัทธาที่มุ่งมั่น แม้จะไม่เรืองรองจนส่องทาง หาก "พระจันทร์เสี้ยวการละคอน" กลับพอใจในแสงเรื่อเรืองของตน และพร้อมจะสร้างสรรค์ฉากของชีวิตที่สะท้อนภาพสังคมให้ผู้ชมได้ขบคิดสืบต่อไป เฉกเช่นบทกวีที่คำรณ คุณะดิลกได้กล่าวไว้

"เราเป็นนก ประดับดงไม้
รับฟัง บทเพลงที่เราร้อง
แต่อย่ากู่ขานชื่อเราเลย..."


อ่านบทความเต็มๆพร้อมแหล่งข้อมูลอ้างอิงได้ที่
http://www.midnightuniv.org/midnight2544/0009999920.html



++++++++++++++++++++++++++++

เชิงอรรถ
(1) นำชื่อมาจากนวนิยายเรื่อง"ทางสายพระจันทร์เสี้ยว" ของ ประภัสสร เสวิกุล
(2) ยุคนี้เป็นยุดสมัยหรือช่วงเวลาที่นักศึกษามีความภาคภูมิใจในสถานภาพของตนเอง กล่าวคือ เป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชนในสังคม และมีความสุขสำราญในการใช้ชีวิตทุกด้าน นักวิชาการบางท่านเรียกว่ายุค "สายลมแสงแดด" นักศึกษาธรรมศาสตร์ในยุคนี้แทบไม่มีใครทราบอดีตเลยว่า ใครเป็นผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยมีความเป็นมาอย่างไร ใช้เวลาไปกับการแข่งขันกีฬา, พาเหรด แบ่งสี สถาบัน จำกัดกิจกรรมในแวดวงกีฬา และบันเทิง ไม่สนใจสังคมและการเมือง ไม่ใส่ใจทุกข์สุขของประชาชน, http://www.2519.net/
(3) เป็นยุคที่ประชาคมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีความตื่นตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือ มีการสร้างกลุ่ม ชมรม องค์กรนักศึกษา ฯลฯ ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมในวงกว้าง ทั้งในเขตเมืองและชนบท ซึ่งมีผลสะท้อนกลับ คือ ทำให้นักศึกษากลายเป็นพลัง และกลุ่มกดดันทางสังคม เป็นยุคที่รู้จักกันดีในชื่อ "ยุคฉันจึงมาหาความหมาย" จากอิทธิพลทางความคิดและบทกวีอมตะจากหนังสือเพลงเถื่อนแห่งสถาบัน ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ ของวิทยากร เชียงกูล, http://www.2519.net/
(4) ฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ จัดขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๗๗ ณ ทุ่งพระสุเมรุ สนามหลวง โดยแนวความคิดของนิสิตนักศึกษาทั้งสองสถาบันกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเคยเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ได้หารือกันว่าควรจะมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างสถาบันเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีระหว่าง นิสิตนักศึกษาทั้งสองสถาบันและควรจัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกปี ผู้ริเริ่มฝ่ายธรรมศาสตร์มี พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ ยมนาค, บุศย์ สิมะเสถียร และฝ่ายจุฬาฯ มี ประสงค์ ชัยพรรค, ประถม ชาญสันต์ และประยุทธ สวัสดิ์สิงห์ จนได้ถือเป็นประเพณีสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในการแข่งขันทุกปีนั้น ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่ารายได้ที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะมีการมอบการกุศลทุกครั้ง, "กำเนิดฟุตบอลประเพณี", http://campus.sanook.com/u_life/cu-tu62.php
(5) งิ้วธรรมศาสตร์ หรืองิ้วการเมือง เปรียบได้ว่าเป็นอาวุธทางวัฒนธรรมที่มีชีวิต ก่อตั้งโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นรูปแบบหนึ่งของศิลปะการแสดงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาอย่างยาวนาน โดยสะท้อนภาพการเมืองไทยผ่านการแสดงละครที่สนุกสนานและเสียดสีได้อย่างแสบร้อน ทั้งดึงดูดความสนใจด้วยการนำผู้ที่เป็นที่รู้จักในวงสังคมมาเป็นตัวแสดง หรือการแสดงในแบบจรยุทธ์ โดยเล่นตามม็อบหรือความเคลื่อนไหวบนสถานการณ์การเมืองที่สำคัญ นับตั้งแต่เหตุการณ์เดือนตุลาคม, พฤษภาทมิฬ และล่าสุดคือเหตุการณ์การขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, อรการ กาคำ, "มหรสพสยบมาร", กรุงเทพธุรกิจ, ๒๕๔๙.
(6) "ละครกับประชาธิปไตย: ๓๐ พระจันทร์เสี้ยว", กรุงเทพธุรกิจ, ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๙.
7) ชาวโปล คนหนึ่งที่ชื่อว่า Jerzy Growtowski เป็นผู้เรียกละครแนวนี้ว่า Poor Theatre เขามีความคิดว่า ละครของพวกคนรวย ที่ใช้ฉาก แสงเสียง เสื้อผ้า หรือองค์ประกอบอื่น ๆ นั้น ไม่มีประโยชน์ และPoor Theatre ก็คือละครที่ไม่ใช้อะไรสักอย่างนอกจากที่จำเป็นเท่านั้น , "รูปแบบของละครในศตวรรษที่ ๒๐", แดสเอนเตอร์เทนเมนท์ www.dass.com
(8) Jerzy Growtowski ชาวโปล เขาเป็นผู้นิยามละครแนว Poor theatre และเป็นผู้ตั้งคณะละคร The Polish Theatre Laboratory ขึ้นในปี ๑๙๕๙
เพื่อหาแนวทางในการแสดงรูปแบบใหม่ ที่นักแสดงไม่ต้องจำกัดตัวเองอยู่กับสิ่งต่างๆภายนอกเลย แต่จะใส่ใจอยู่ที่การแสดงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นเอง ละครของเขาจึงไม่ใช้การแต่งหน้า เสื้อผ้า หรือฉากที่สมจริงในการแสดง ให้ความสนใจแต่ร่างกายและจิตใจของนักแสดงเท่านั้น, "รูปแบบของละครในศตวรรษที่ ๒๐", (ibid).
(9) แนวละครร่วมสมัยในศตวรรษที่ ๒๐ ที่เน้นหนักไปยังความสามารถของนักแสดงและความสัมพันธ์กับผู้ชม, "รูปแบบของละครในศตวรรษที่ ๒๐", (ibid).
10) ตอนปลายศตวรรษที่ ๑๙ นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญา เริ่มสนใจและศึกษาอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ว่า มีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของมนุษย์ Therese Raquin นวนิยายที่เขียนขึ้นโดย Emile Zola เป็นนวนิยายในแนว Naturalism หรือธรรมชาตินิยม ที่มีอิทธิพลต่องานศิลปะและงานละครในยุคนั้นเป็นอย่างยิ่ง นักการละครยุคนั้นจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อเลียนแบบธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่รอบตัวมนุษย์ ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฉากที่ให้รายละเอียดที่สมจริง หรือการที่นักแสดงจะพยายามแสดงให้เหมือนจริงมากที่สุด โดยพยายามที่จะศึกษาลึกลงไปในภูมิหลังและความซับซ้อนทางอารมณ์ของตัวละครต่าง ๆ Stanislavsky นักการละครที่โด่งดัง ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาธรรมชาตินิยมนี้, "รูปแบบของละครในศตวรรษที่ ๒๐", (ibid).
(11) แมกซิม กอร์กี้ (Maxim Gorky หรือ Gorki) มีความหมายว่า "แมกซิมผู้ระทมขมขื่น" เป็นนามปากกาของอเลกเซ แมกซิโมวิช เพสคอฟ (Alexi Maximovich Peshkov) นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวรัสเซีย ซึ่งได้สร้างสรรค์วรรณกรรมสะท้อนให้เห็นถึงความยากแค้นลำเค็ญของสังคมขึ้นมาอย่างมากมาย ผลงานของเขาถือได้ว่า "ปลุกเร้าวิญญาณของมวลมนุษย์" โดยเฉพาะนวนิยายเรื่องแม่ โดยฉากของนิยายในเรื่องทั้งหมดเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง รวมถึงเหตุการณ์และการจำลองชีวิตของบุคคลที่ไม่ได้รับความยุติธรรรมในสังคมมาใส่ไว้ในเรื่อง การดำเนินชีวิตของ ปาเวล วลาสซอฟ นั้นลอกเลียนมาจากชีวิตจริงของ ปาเวล ซาโลมอฟ ซึ่งเป็นผู้เดินนำกรรมกรในวันเมย์เดย์และถูกตี ถูกจับ ถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลานาน ส่วนแม่ของปาเวล นิลอฟน่า เป็นภาพรวมจากชีวิตแม่ของซาโลมอและแม่ของ Kadomtsev กรรมกรนักปฏิวัติ
เหตุการณ์ในการเคลื่อนไหวปฏิวัตินั้นสตรีชาวรัสเซียที่เป็นแม่และเป็นกรรมกรมากมาย มีส่วนช่วยลูกและต้องเข้าคุกไปด้วย หลังจากหลบลี้ภัยการเมืองไปในหลายประเทศ และที่อเมริกานี้เองกอร์กี้ได้เขียนนวนิยายเรื่อง "แม่" ขึ้นมา หากเมื่อนำไปตีพิมพ์ที่รัสเซียเป็นครั้งแรกนั้นเรื่องแม่ตอนแรกที่ออกมาถูกยึดทำลายหมด และตอนที่สองก็ถูกเซ็นเซอร์จากคณะกรรมการเสียจนอ่านไม่ได้เรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็มีหนังสือเรื่อง "แม่" ที่พิมพ์โดยผิดกฎหมายออกมามีเนื้อหาครบถ้วน และไม่นานเรื่อง "แม่" ก็ถูกแปลไปหลายภาษาทั่วโลก รัฐบาลพระเจ้าซาร์โกรธมากที่มีหนังสือเรื่อง "แม่" ตีพิมพ์ออกมา สั่งจับกอร์กี้ในฐานะผู้เขียน กอร์กี้หนีรอดพ้นเงื้อมมือของตำรวจไปได้โดยไปอยู่ที่เกาะคาปรี
เมื่อกอร์กี้กลับมารัสเซียนั้น เขากลับมาอย่างผู้มีชัย สถานที่บ้านเกิดของเขาซึ่งเป็นฉากท้องเรื่องของนวนิยายเรื่อง "แม่" ได้รับการขนานนามใหม่ว่า "กอร์กี้" เพื่อเป็นเกียรติใน ค.ศ. ๑๙๓๒, เรียบเรียงจาก จิตร ภูมิศักดิ์ (ผู้แปล), แม่, แปลจาก MOTHER โดย Maxim Gorky, พิมพ์ครั้งที่ ๕, ดอกหญ้า : กรุงเทพฯ, ๒๕๔๓, ๑๑-๑๓ (เบื้องหลังความเป็นมาเรื่อง "แม่" โดยภิรมย์ ภูมิศักดิ์)
(12) "ละครกับประชาธิปไตย: ๓๐ พระจันทร์เสี้ยว", กรุงเทพธุรกิจ.
(13) http://www.bkkonline.com/movie/drama/moon/


++++++++++++++++++++++++++++

แหล่งข้อมูลอ้างอิง
๑. เอกสารประกอบงานพระจันทร์เสี้ยวการละคอน มุมสะท้อนประชาธิปไตยไทย
๒. http://www.2519.net/
๓. "กำเนิดฟุตบอลประเพณี", http://campus.sanook.com/u_life/cu-tu62.php (บทความ)
๔. อรการ กาคำ. "มหรสพสยบมาร". กรุงเทพธุรกิจ, ๒๕๔๙. (บทความ)
๕. "รูปแบบของละครในศตวรรษที่ ๒๐". แดสเอนเตอร์เทนเมนท์ (บทความ)
๖. "ละครกับประชาธิปไตย": ๓๐ ปีพระจันทร์เสี้ยว. กรุงเทพธุรกิจ, ๒๕๔๙. (บทความ)
๗. จิตร ภูมิศักดิ์ (ผู้แปล). แม่. จาก MOTHER โดย Maxim Gorky. พิมพ์ครั้งที่ ๕, กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า, ๒๕๔๓
๘. http://www.bkkonline.com/movie/drama/moon/


21 August 2009

ชมรมพระจันทร์เสี้ยว

ปีนี้ครบรอบ 40 ปี ชมรมพระจันทร์เสี้ยว

พี่นกป่าจากเครือข่ายนักเขียน ได้จัดรายการวิทยุและสัมภาษณ์ใครหลายๆคนเกี่ยวกับคนในชมรมนี้ไปเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เท่าที่รู้ก็จะมีพี่เวียง วัชระ บัวสนธ์ นักศึกษาที่ติดตามผลงานของ อ.วิทยากร เชียงกูร ผู้สนใจงานของ สิงห์ สนามหลวง หรือ พี่สุชาติ สวัสดิศรี และ สินีนาฏ เกษประไพ ลูกศิษย์ทางการละครของ คำรณ คุณะดิลก เราจะพยายามติดตามขอเทปมาแกะเป็นข้อมูลแล้วนำมาลงในอนาคตที่อาจจะนานสักหน่อย

เนื่องในวาระสำคัญเช่นนี้เราเลยขอตัดบางตอนจากบทความเกี่ยวกับ ชมรมพระจันทร์เสี้ยว และ พระจันทร์เสี้ยวการละคร ในงาน 30 ปี พระจันทร์เสี้ยวการละคร หรืองานฉลอง 60 ปี ครูคำรณ คุณะดิลก ที่จัดไปเมื่อสามปีก่อนที่หอศิลป์ตาดู เพื่อไว้เป็นความรู้ในการค้นคว้า และเพื่อเราสมาชิกรุ่นใหม่ก็จะได้รู้รากเหง้าที่มาที่ไปของเรา บทความนี้นำมาจากเว็บไซด์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน (ลำดับที่ 1010) ซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2549

ดูเพิ่มเติมที่


พระจันทร์เสี้ยวการละคอน
มุมสะท้อนวิญญาณประชาธิปไตย

โดย รวินทร์ คำโพธิ์ทอง (นักวิชาการอิสระ)


“ชมรมพระจันทร์เสี้ยวการละคร กลุ่มละคอนที่มีประวัติความเป็นมายาวนานในการสร้างสรรค์ผลงานทางด้านวรรณกรรม ศิลปวัฒนธรรม และศิลปะการละครอันมีเนื้อหาในการส่งเสริมพัฒนาความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยไทย ทั้งยังสะท้อนภาพสังคมโดยใช้สื่อการแสดงเป็นเครื่องมือสำคัญ จนถือได้ว่าเป็นต้นแบบของละครเพื่อชีวิต”


ประวัติ : ทางสายพระจันทร์เสี้ยว (1)

"พระจันทร์เสี้ยว" เริ่มต้นจากกลุ่มนักศึกษาหลายมหาวิทยาลัยที่สนใจด้านวรรณกรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ อาทิ สุชาติ สวัสดิ์ศรี, วีรประวัติ วงศ์พัวพันธุ์, วิทยากร เชียงกูล, ธัญญา ผลอนันต์, นิคม รายวา, วินัย อุกฤษณ์, เธียรชัย ลาภานันท์ เป็นต้น

สุชาติ สวัสดิ์ศรี ได้รื้อความทรงจำถึงการก่อตัวและที่มาของคำว่าพระจันทร์เสี้ยวไว้ดังนี้
"การก่อเกิดพระจันทร์เสี้ยว มันก็ไม่มีระบบระเบียบอะไรที่เป็นทางการ แต่จุดเริ่มต้นสำคัญที่อาจจะเป็นการก่อเกิดอันแรก คือเราร่วมกันทำหนังสือ เราเรียกว่าเป็นหนังสือเล่มละบาท ซึ่งถือเป็นจุดก่อเกิดที่ทำให้พวกเรามารวมตัวกัน ในสมัยนั้นการทำหนังสือจะต้องไปขออนุญาตกับทางสันติบาล การเกิดหนังสือเล่มละบาทขึ้นมาก็ด้วยเหตุเพราะมันทำหนังสือในระบบไม่ได้ หนังสือของกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวเท่าที่ผมจำชื่อได้ คือธุลี, ตะวัน, ปัญญา, นาคร, ลานโพธิ์ และยังมีอีกหลายเล่ม ส่วนคำว่า พระจันทร์เสี้ยวนั้นต้องให้เครดิตคุณวีระประวัติ วงศ์พัวพัน คือเขามีกลุ่มอ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่ชื่อว่า crescent moon แล้วเขาก็เอาคำ ๆ นี้มาแปลเป็นไทย ว่าพระจันทร์เสี้ยว"

บริบทแห่งยุคสมัย จากยุคสายลม-แสงแดด (2)


ราวปี ๒๕๐๕ ที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจในเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องส่วนรวม จนมาถึงในปี ๒๕๑๐ จุดเริ่มของยุคแสวงหา (3) ซึ่งเกิดการพูดคุย, วิพากษ์, ถกเถียง แล้วจึงนำไปสู่การรวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้น. วิทยากร เชียงกูล เล่าถึงบรรยากาศของกิจกรรมนักศึกษาในยุคสมัยนั้นว่า

"ในยุคนั้นถือว่าเราเป็นนักศึกษากลุ่มน้อย เพราะว่าศิลป-วัฒนธรรมในมหาวิทยาลัยสมัยนั้น ก็มีแต่เพลงเชียร์ฟุตบอลประเพณี (4) เป็นอย่างมาก และก็งิ้วธรรมศาสตร์ (5) เราเป็นพวกที่สนใจหนังสือ ที่สำคัญก็คือว่าการสนใจหนังสือทำให้คุยกันได้นาน คือเราอยากแสดงออกแต่เรายังหาวิธีของมันไม่ค่อยได้ เพราะว่าสมัยนั้นหนังสือในตลาดก็มีน้อย จะมีก็แต่สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์แล้วก็ชาวกรุง...เราจึงพิมพ์หนังสือกันขึ้นมาเอง"

เมื่อวิทยากรได้รับเลือกเป็นประธานชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบกับกรรมการชมรมฯ ในปีนั้นเป็นกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวเสียส่วนใหญ่ พวกเขาจึงได้ร่วมกันปรับรูปเปลี่ยนร่างให้กับหนังสือของชมรมวรรณศิลป์ ด้วยการเพิ่มเติมเนื้อหาของเรื่องสั้น, บทวิจารณ์หนังสือ, ปรัชญา ภายใต้แนวคิดที่ว่าวรรณกรรมต้องสะท้อนทั้งภาพของสังคมและชีวิต

สุชาติกล่าวเสริมเติมต่อ"หลังจากปี ๒๕๑๒ กิจกรรมที่ทำเริ่มมีความสัมพันธ์กับสังคมมากขึ้น…ในเวลานั้นยังมีกลุ่มหนุ่มเหน้าสาวสวยของสุจิตต์-ขรรค์ชัย, กลุ่มดำแดงปริทัศน์ของวิรุณ ตั้งเจริญ, กลุ่มวลัญชทัศน์ที่เชียงใหม่ พวกสถาพร ศรีสัจจัง, นิติ อภิรักษ์โสภณ, อารมณ์ พงศ์พงัน ที่โคราช, ธัญญาอยู่สภากาแฟที่ ม.เกษตร และมันก็เป็นผลสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดการรวมตัวกันที่ก้าวพ้นจากองค์กรนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย

กลุ่มอิสระเหล่านี้มีจุดร่วมกันของความรู้สึกโหยหาที่จะกลับไปหาสิ่งที่ตัดต่อความทรงจำในยุคเก่าให้ต่อกับสิ่งที่เป็นรากเหง้าเดิมของบรรดานักคิด, นักเขียนที่ถูกตัดตอนออกไปในช่วงสมัยจอมพล ป., จอมพลสฤษดิ์ กลุ่มต่าง ๆ นั้นได้มีจุดร่วมกันอีกอย่าง คือเป็นขบถทางความคิด เป็นจิตวิญญาณขบถ...สิ่งที่เห็นได้ชัด คือขบถทางการศึกษา ส่วนที่วิพากษ์คือไม่มีเสรีภาพทางวิชาการ... แล้วสังคมก็ยังอยู่ในภาวะกึ่งเผด็จการ การดิ้นรนเพื่อจะทำกิจกรรมจึงเกิดขึ้นและเป็นกระแสต่อเนื่องมาจนกระทั่งเกิด 14 ตุลา"

ฉากของชีวิต

ในเวลาต่อมาสมาชิกของชมรมพระจันทร์เสี้ยวบางคนได้เริ่มหันมาสนใจเขียนบทละคร อาทิ "ฉันเพียงอยากออกไปข้างนอก", "นายอภัยมณี ", "งานเลี้ยง" ของวิทยากร เชียงกูล, "ชั้นที่ ๗" ของสุชาติ สวัสดิ์ศรี, "นกที่บินข้ามฟ้า" ของวิทยากร เชียงกูล และคำรณ คุณะดิลก เป็นต้น จากการเขียนเพื่ออ่านได้เชื่อมโยงไปสู่การทำละครเวที

"นายอภัยมณี" เป็นละครเวทียุคแรกจากบทละครที่เขียนขึ้น เพื่อล้อเลียนเรื่องพระอภัยมณีของวิทยากร เชียงกูล ได้จัดแสดงขึ้น ณ สยามสมาคมโดยมีคำรณ คุณะดิลกรับบทนายอภัยมณี รวมถึงวิทยากร เชียงกูล, เกริกเกียรติ นิติพัฒน์ และธัญญา ผลอนันต์ ที่ขณะนั้นเป็นประธานชมรมวรรณศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมแสดงด้วย

ปี ๒๕๑๔

กลุ่มพระจันทร์เสี้ยวได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างสำคัญยิ่งในกระบวนการผลิตละครเรื่องอวสานเซลล์แมน ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยรับผิดชอบด้านฉาก แสง เสียง รวมทั้งแสดงนำเป็นตัวละครเอก "อวสานเซลล์แมน" เป็นบทละครดัดแปลงจากงานเขียนของนักเขียนอเมริกันชื่อดัง (6) มีเนื้อหาเสียดสีสังคมของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม และต่อเนื่องด้วย "ชนบทหมายเลข ๑, ๒, ๓" ที่ฉายภาพความล่มสลายของวัฒนธรรมชุมชนพร้อมทั้งนำความแปลกใหม่มาสู่วงการละครไทยด้วยการสร้างสรรค์ผลงานละครในรูปแบบ POOR THEATRE (7) แล้วนำทฤษฎีการละครของ JERZY GROTOWSKI (8) มาปรับใช้เพื่อสอดผสานความสัมพันธ์ระหว่างผู้แสดงและผู้ชมให้เข้าถึงจิตวิญญาณของละคร กลวิธีนี้นำมาจากต้นแบบของ BRECHTIAN THEATRE (9) ซึ่งเป็นแนวละครแถวหน้าของละครร่วมสมัยในศตวรรษ ๒๐. คำรณ คุณะดิลก ได้กล่าวถึงละครเรื่องนี้ว่า

"ก่อนที่ผมจะออกไปสอนทางด้านการละครที่เชียงใหม่ แกรี่ (อาจารย์ชาวต่างชาติผู้สอนวิชาการละคร ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ให้หนังสือของ JERZY GROTOWSKY แก่ผมเล่มหนึ่ง ซึ่งพูดถึงทฤษฎีของการละครของ Stanislavsky (10) ในระดับของจิตวิญญาณความสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงกับคนดู คือไม่มีฉาก ไม่มีแสง ไม่มีเมคอัพ และสอดคล้องกับเราพอดีที่ไปอยู่เชียงใหม่ แล้วได้เห็นความล่มสลายของสังคมชนบท สังคมเกษตรกรรมในยุคก่อนตุลาฯ จึงได้นำมาสร้างเป็นละครเรื่องชนบทหมายเลข ๑, ๒, ๓"

จนกระทั่งปี ๒๕๑๘

ชมรมพระจันทร์เสี้ยวการละครได้ถือกำเนิดขึ้น พร้อมเปิดฉากด้วยละครเรื่อง "แม่" ของแมกซิม กอร์กี้ (11) กับเรื่องราวต่อต้านความอยุติธรรมในสังคมแต่เชื่อมั่นในสัจธรรมเหนือสิ่งอื่นใด และละครเรื่อง "นี่แหละโลก" ที่ขับเน้นภาพความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นของคนในสังคมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ภายหลังเดือนตุลาคม ๒๕๑๙ ชมรมพระจันทร์เสี้ยวการละครได้ก่อตั้งคณะละครชื่อ "แฉกดาว" โดยนำละครไปจัดแสดงตามโรงงาน, ชุมชน, ม็อบและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ถือเป็นจรยุทธ์ในการรุกคืบเข้าสู่มวลชน อาทิ ละครเรื่อง "ก่อนอรุณจะรุ่ง" ด้วยการนำบทละครเรื่องชนบทหมายเลข ๑, ๒, ๓ มาดัดแปลงใหม่, ละครเรื่อง "แซมมี่จอมยุ่ง" ที่พูดถึงการรุกรานแทรกซึมของอเมริกา ในยุคที่บทเพลงอเมริกันอันตรายกระหึ่มก้อง

หากระหว่างนั้นเองมีสมาชิกของชมรมฯ ได้ถูกจับกุมคุมขังและหลบหนีภัยทางการเมืองจนแตกกระสานซ่านเซ็นอย่างไร้ทิศทาง บางคนถึงกับต้องหลีกลี้ไปยังต่างประเทศ จากเหตุการณ์ดังกล่าวฉากแห่งชีวิตของชมรมพระจันทร์เสี้ยวการละครจึงค่อย ๆ หรี่แสงรูดม่านปิดลง แต่ม่านชีวิตของคำรณ คุณะดิลกยังคงเปิดฉากต่อไปในประเทศฝรั่งเศส โดยคำรณได้เข้าร่วมกับคณะละคร THEATRE DE LA MANDRAGORE เป็นทั้งนักแสดงและผู้ช่วยผู้กำกับ มีผลงานเรื่อง Antigone, Woyzeck, Leon&Lena, La Mort de Danton, L' Avar, La Mort de Bucher, Escalade, La Libbration, L' Eneme and Terminal ออกแสดงตามประเทศต่าง ๆ เช่น ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, อียิปต์, จอร์แดน, เลบานอน, สวีเดน, โมรอคโค, ตูนิเซีย, กอบอน, การ์คาร์ และซูดาน (12)