04 May 2012

Fall ร่วง หก ตก หล่น

Crescent Moon Theatre Upcoming production!
พระจันทร์เสี้ยวการละคร เสนอ



"fall" ร่วง หก ตก หล่น

"fall" ร่วง หก ตก หล่น เป็นการแสดง Body Expression and Movement ถ่ายทอดเรื่องราว และการเดินทางของหญิงสาวสองคน ภายใต้แรงโน้มถ่วง และเงื่อนไขของโลก ห้วงเวลาแห่งความสับสน จากบนสู่ล่าง กาลเวลาที่ผันผ่านอาจทำให้ให้พวกเธอจม...ดิ่ง บางครั้งอาจนำพาสู่ความเปลี่ยนแปลง การค้นหา ตั้งคำถาม คัดค้าน เพื่อบางสิ่งที่มีความหมายต่อจิตใจ

"เสียงกระซิบจากร่างกาย บทสนทนาผ่านหัวใจ"

สร้างสรรค์และแสดง โดย
สุกัญญา เพี้ยนศรี และ ศิริธร ศิริวรรณ

แสดงวันที่ 21 - 25 มิถุนายน, 28 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม 2555
เวลา 19.30 น.
โรงละครพระจันทร์เสี้ยว , สถาบัน ปรีดี พนมยงค์ (BTS ทองหล่อ)
บัตรราคา 350 บาท
สำรองที่นั่ง 08-1929-4246, 08-4174-2729
www.facebook.com/CrescentMoonTheatre
http://www.crescentmoontheatre.org/


เกี่ยวกับผู้กำกับ
สุกัญญา เพี้ยนศรี
นักทำละครคลื่นลูกใหม่ของพระจันทร์เสี้ยวการละคร สนใจและเริ่มทำละครตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มัธยมปลาย เป็นสมาชิกพระจันทร์เสี้ยวการละครตั้งแต่ปี 2552 ผลงานที่ผ่านมา Time’s Up (2009), ละครหุ่น Wawa the Rice Child (2010), คือผู้อภิวัฒน์ (2010) ล่าสุด Bad Fine Day (2012) เป็นต้น
Fall ร่วง หก ตก หล่น เป็นงานสร้างสรรค์เอง แสดงเองครั้งแรก
ศิริธร ศิริวรรณ
นักทำละครคนรุ่นใหม่แกะกล่อง จากพระจันทร์เสี้ยวการละคร ผลงานที่ผ่านมา Bad Fine Day โครงการอ่านบทละคร "อ่านในใจ" และเส้นด้ายในความมืด ครั้งนี้เธอหยิบเอาเรื่องราวของชีวิตตอนหนึ่งมาเล่าสู่กันฟัง ผ่านเสียงกระซิบ และร่างกายที่โหยหาการเดินทางเพื่อสำรวจภาวะภายในผ่านเรื่อง "fall ร่วง หก ตก หล่น"




Crescent Moon Theatre presents

"fall"

"fall" is a performance of body expression and movement telling the story and journey of two women under the gravity.Due to the hours of confusion, the moment might draw them down. Sometimes, it comes to the new change, exploration, question and confrontation for essential occurrance.

"Whispering though bodies ... conversing with hearts"

Perform and direct by
Sukanya Pheansri and Sirithorn Siriwan

21-25 June, 28 June-2 July 2012
Showtime: 7.30 p.m.
Crescent Moon Space , Pridi Banomyong Institute (soi Thonglor)
Ticket : 350 Bath
More info: 08-1929-4246, 08-4174-2729
www.facebook.com/CrescentMoonTheatre
http://www.crescentmoontheatre.org/


About Directors
Sukanya Pheansri

is the new generation of Crescent Moon Theatre.With her interest in theatre, she participated in theatre activities when she was in high school. Today, she has been a member of Crescent Moon Theatre since 2009.Her latest productions are "Time’s Up" (2009), "Wawa the Rice Child" (2010), "The Revolutionist" (2010) and "Bad Fine Day" (2012).
Today, "fall" will be her first time of directing and performing her production ever.
Sirithorn Siriwan is a rising-junior performer and artist of Crescent Moon Theatre. Her latest productions are "Bad Fine Day" (2011), "Play Reading: Reading in Mind"(2011) and "A Thread in the Dark" (2011).
Today, she will depict one chapter of her life story though whisper and body that longs for the journey to explore her inward world in the play called "fall"...


24 April 2012

บทวิจารณ์ I Sea ใน Art Square

ค่ำคืนหนึ่งที่ทองหล่อ... ผมมองเห็นทะเล


เขียนโดย วิชญ์พล ดิลกสัมพันธ์
จากนิตยสาร Art Square ฉบับเดือนธันวาคม 2554





เมื่อพูดถึงชายหาดและเกลียวคลื่นที่ซัดสาดเข้าหาฝั่ง ลมเย็นๆที่พัดมาจากพื้นน้ำ พร้อมกับกลิ่นไอทะเลจางๆในอากาศ คุณนึกถึงอะไร? สำหรับสองนักแสดงหญิงผู้มากความสามารถและมากประสบการณ์จากพระจันทร์เสี้ยวการละคร พวกเธอได้ถ่ายทอดความคำนึงและความรู้สึกที่มีต่อทะเล ผ่านผลงานการแสดงเดี่ยวล่าสุดของทั้งคู่… I-Sea project

สินีนาฏ เกษประไพ ศิลปินศิลปาธรหญิงคนแรกของประเทศไทย และ ฟารีดา จิราพันธุ์ นักแสดงละครเวทีฝีมือคุณภาพ ทั้งสองเป็นสมาชิกกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวการละคร และทำงานละครมาอย่างยาวนาน มีผลงานละครอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ครั้งนี้ทั้งคู่ได้จับมือกันทำ Solo Performance ของแต่ละคน ที่เน้นการเคลื่อนไหวของร่างกายผู้หญิงโดยไม่ใช้คำพูด ภายใต้โจทย์เดียวกันคือคำว่า ทะเล และ ผู้หญิง และได้จัดแสดงที่ Crescent moon space สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ เมื่อวันที่ 22-26 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นการแสดงเดี่ยว 2 เรื่องที่ไม่ได้ต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน ระยะเวลาประมาณ 30 นาทีต่อเรื่อง ซึ่งก็ได้รับเสียงสะท้อนจากผู้ชมที่ดีมากทีเดียวในแง่ของ “ความรู้สึก”


ละครเริ่มต้นด้วย Flotsam ของ ฟารีดา จิราพันธุ์ ซึ่งชื่อเรื่องแปลว่า “ของที่ลอยอยู่ในทะเล” ภาพบนเวทีเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ผู้ชมเข้าโรงละครจนครบ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินถือกระสอบทรายเข้ามา และชักชวนผู้ชมให้ออกไปเทของที่อยู่ในถุงออกมา เป็นกระดาษบางๆเหมือนถุงพลาสติกสีน้ำเงินและสีขาว กระจัดกระจายไปทั่วห้อง เด็กหญิงเล่นกับกระดาษอย่างสนุกสนาน ต่อด้วยการเต้นเพลง “ลอยทะเล” ด้วยความร่าเริง เธอขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยม และขณะที่เธอเต้นอย่างมีความสุขอยู่นั่นเอง เธอก็ตกลงมาจากแท่น (ทำเอาผู้ชมตกใจไปตามๆกัน) ทุกอย่างเงียบสนิท เมื่อเธอกลับขึ้นมา มือของเธอก็เริ่มสำรวจร่างกายราวกับมีชีวิต หลังจากนั้น ภาพในจิตใจของเด็กคนนี้ก็แสดงออกมาผ่าน Movement ที่รุนแรงและทรมาน หลังจากนั้น เด็กน้อยก็กลายร่างเป็นสัตว์ป่าที่ดูน่ากลัว ก้าวร้าว เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ รุนแรงราวกับถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ เมื่อทุกอย่างสงบลงเหมือนกับทะเลที่สงบนิ่งหลังการจากไปของพายุ ด้านหลังปรากฏภาพของเด็กหญิงคนหนึ่ง (รูปของพี่ฟาตอนเด็กๆนั่นเอง) ในอิริยาบถต่างๆ บนเวทีมีเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่บนขอบหินอย่างเดียวดาย สักพักก็มีแตรเด็กเล่น สีสันสดใสลอยมาตามน้ำ เด็กหญิงเก็บขึ้นมาและพยายามเป่ามันเป็นเพลง ระบำชาวเกาะ และมีความสุขอยู่เพียงลำพัง

งานของฟารีดาทำให้นึกถึงภาพของชายหาดที่ถูกคลื่นซัด ตอนเด็กๆเรามักจะชอบขีดๆเขียนๆอะไรบางอย่างบนริมหาด หรือสร้างปราสาททรายที่สวยงาม แต่เมื่อคลื่นมาถึง มันจะถาโถมเข้าใส่ชายหาด และดูดกลืนทุกอย่างให้หายไปในพริบตา หลงเหลือแต่ผืนทรายที่ว่างเปล่า อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือเรื่องความเหงาและเดียวดาย เด็กผู้หญิงในตอนท้ายก็เหมือนกับของที่ลอยอยู่ในทะเลตามชื่อเรื่อง เมื่อแตรของเล่นที่ลอยอยู่อย่างเดียวดายมาพบกับเด็กผู้หญิง จึงทำให้ความเหงาถูกบรรเทาลงไปบ้าง เป็นแสงสว่างเล็กๆยามที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เป็นความรู้สึกที่เรามักจะสัมผัสได้เสมอเวลามองเห็นทะเล ความเหงามักจะถามหาเราเสมอ เพราะตัวมันเองก็คงจะเหงาเหมือนกัน



ต่อด้วยงานของ สินีนาฏ เกษประไพ กับเรื่อง Change ที่มีการใช้ดนตรีสดเป็น แซ็กโซโฟน เป่าโดยชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้องก่อน ตามมาด้วยการเปิดตัวผู้หญิงคนหนึ่งที่ปีนเข้ามาทางหน้าต่าง(!!) ในชุดเจ้าสาว (!!!) เธอยื่นมือสองข้างให้ชายหนุ่มเหมือนเด็กๆ เพื่อให้เขาอุ้มเธอเข้ามาในห้อง เธอดูเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่งที่เริ่มมีชีวิตเมื่อชายหนุ่มเริ่มเป่าแซ็ก จากนั้นเด็กผู้หญิงก็ค่อยๆโตขึ้นเรื่อยๆ ดูสดใสไร้เดียงสา จากนั้นภาพก็ตัดมาที่ในทะเล เด็กผู้หญิงกลายร่างเป็นสัตว์น้ำนานาชนิด ที่มองเห็นชัดเจนก็คือปูเสฉวนกับแมงกะพรุน จากนั้นเจ้าแมงกะพรุนก็เริ่มวาดลวดลายโดยการเต้นประกอบเพลง “Love potion No.9” พร้อมกับยิ้มแหยๆเหมือนกับฝืนทำ จากนั้นการเคลื่อนไหวก็เปลี่ยนไป ผู้หญิงเหมือนถูกใครหรืออะไรบางอย่างบังคับอยู่ เธอพยายามขัดขืนพร้อมๆกับเสียงแซ็กโซโฟนที่ดังขึ้นจนหนวกหู แต่ในที่สุดเธอหมดแรงต่อต้าน ด้านหลังปรากฎภาพตึกในเมืองที่แน่นขนัด ในท้ายที่สุด ผู้หญิงคนนี้ก็ถอดชุดแต่งงานออก แต่เธอก็ไม่สดใสอีกแล้ว เสื้อผ้าของเธอขาดรุ่งริ่ง ด้านหลังปรากฎภาพถนนที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดท่ามกลางภูเขาทั้งสองฟากฝั่ง เธอตัดสินใจเดินไปตามทางนั้นโดยไม่มีจุดมุ่งหมายหลงเหลืออยู่ในแววตาของเธอเลย

ดูเหมือนว่าสินีนาฏมีประเด็นหลายอย่างเป็นก้อนๆ ที่สอดแทรกอยู่ในงานชิ้นนี้ แต่ก็เป็นลักษณะที่เปิดกว้าง มีพื้นที่ไว้ให้ผู้ชมคิดและเทียบเคียง แต่ประเด็นที่ชัดเจนสำหรับผู้หญิงทุกคนคือเรื่องของการแต่งงานและชีวิตคู่ ซึ่งผู้หญิงมักจะคาดหวังไว้ว่ามันจะต้องสวยงามเสมอ แต่ส่วนมากแล้วก็จะไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ เหมือนกับสมัยเด็กๆ ที่เรามักจะตื่นเต้นกับการมองเห็นทะเล และจินตนาการไว้สวยหรู แต่เมื่อลงไปเล่นจริงๆแล้ว กลับไม่มีอะไรเลย ออกจะอันตรายและน่ากลัวด้วยซ้ำไป อีกทั้งเรื่องนี้ยังทำให้นึกถึงการโหยหาความทรงจำในวันเก่าที่แสนยาวไกล สมัยที่ความคิดของเรายังไร้เดียงสาและสวยงาม ซึ่งเมื่อเราได้พบกับความเป็นจริงแล้ว เราจะไม่สามารถกลับไปหาความทรงจำเหล่านั้นได้อีกเลย

การแสดงเดี่ยวครั้งนี้ ได้สะท้อนถึงมุมมอง วิธีคิด และตัวตนของผู้หญิงทั้ง 2 คนนี้ได้อย่างเข้มข้น อีกทั้งการแสดงยังมีพลังที่สามารถทำให้ผู้ชม “รู้สึก” ตามไปกับเรื่องราวของทั้งคู่ อีกทั้งยังแบ่งช่องว่างไว้ให้กับผู้ชมในการเชื่อมโยง หรือเทียบเคียงประเด็นต่างๆกับประสบการณ์ชีวิตของตนเอง I-Sea จึงเป็นการแสดงที่น่าสนใจ ราวกับทะเลที่มีเสน่ห์ดึงดูด ทำให้เราอยากสัมผัสและค้นหาความรู้สึกบางอย่างจากมัน

หลังจากการแสดงจบลง ผมหลับตาลงและสัมผัสถึงสายลมอันแผ่วเบา เสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่ง กับกลิ่นชายหาดและรสเค็มของน้ำทะเล แล้วถามตัวเองดูว่า “ครั้งสุดท้ายที่มองเห็นทะเล.... เรากำลังนึกถึงอะไร?”



23 April 2012

ผู้หญิงลายจุด

Dot Women

การแสดงสั้นชุด "ผู้หญิงลายจุด" เป็นการแสดงที่แตกมาจากการแสดงชุด "วันสุข" หรือ Bad Fine Day นำมาทำเป็นการแสดงหญิงล้วน 5 คน กับภาวะ เหงา เศร้า ท่ามกลางผู้คนแออัดในวันศุกร์ ร่วมแสดงในงาน Heal the Arts ที่ V64 วันที่ 25 มีนาคม 2555



 

16 March 2012

Our New Website

เว็บใหม่ของเรา

หลังจากเว็บเก่าของเราที่เปิดมาตังแต่ 2549 ล่มไป ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะเปิดเว็บขึ้นมาอีกครั้ง โปรดติดตามข้อมูลข่าวสสารจากเรา รวมทั้งกิจกรรมละครเวทีและศิลปะ ได้ที่หน้าเว็บใหม่นี้





12 March 2012

Creative Writng workshop




Creative Writing workshop
อบรมเขียนบทละครเวทีเบื้องต้น


พระจันทร์เสี้ยวการละคร จัดอบรมเขียนบทละครเวทีเบื้องต้น โดยเน้นการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานในการสร้างเข้าใจโครงเรื่อง การสร้างเรื่อง และ การหาเรื่องจากสิ่งรอบตัว คอร์สนี้เปิดรับผู้สนใจทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานการแสดงหรือการเขียนบทมาก่อน

สอนโดย
อรดา ลีลานุช
จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก St. Olaf College ทางด้าน Theatre ระดับปริญญาโทจาก Miami University ทางด้าน Theatre และ ระดับปริญญาเอกจาก Texas Tech University ทางด้าน Fine Arts (Theatre) โดยที่มีความสนใจทางด้านประวัติศาสตร์การละคร ทฤษฎีการละคร การเขียนบทละคร และการพัฒนางานเขียนของนักเขียนหน้าใหม่ ตอนนี้เป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะอักษรศาสตร์ ภาควิชาศิลปการละคร และที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อบรมวันที่ 3-6 พฤษภาคม 2555 เวลา 10.00 – 17.00 น. (รวม 28 ชั่วโมง)
ที่ Crescent Moon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์ (BTS ทองหล่อ)
***มีค่าลงทะเบียน****

ข้อมูลเพิ่มเติมโทร 08 - 1929 4246
อีเมล์ crescentmoontheatre@yahoo.com

Back to Basic acting workshop #6





Back to Basic acting workshop
อบรมการสดงเบื้องต้น


พระจันทร์เสี้ยวการละครจัดอบรมศิลปะการแสดงเบื้องต้นสำหรับผู้สนใจทั่วไป ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานการแสดงมาก่อน มุ่งเน้นปูพื้นฐานความเข้าใจการแสดง การสวมบทบาท และการด้นสด Improvisation


สอนโดย
สินีนาฏ เกษประไพ
นักแสดง ผู้เขียนบท ผู้กำกับละครเวทีกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวการละคร
ศิลปินรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดงปี 2551


อบรมวันที่ 26-29 เมษายน 2555 เวลา 13.00 – 18.00 น. (รวม 20 ชั่วโมง)
ที่ Crescent Moon Space สถาบันปรีดี พนมยงค์ (BTS ทองหล่อ)
***มีค่าลงทะเบียน***



ข้อมูลเพิ่มเติมที่โทร 08 1929 4246
crescentmooontheatre@yahoo.com

29 February 2012

อบรมออกแบบแสง




พระจันทร์เสี้ยวการละครจัดอบรม
ออกแบบแสงสำหรับการแสดงบนเวที ครั้งที่ 5
(Stage Lighting Design workshop #5)



วันที่ 5 - 8 เมษายน เวลา 10.00-18.00 น.
ที่ Crescent Moon Space
อาคารสถาบันปรีดีพนมยงค์ ถนนสุขุมวิท 55 (ซ.ทองหล่อ)

สนใจดูรายละเอียด กรอกใบสมัคร แล้วส่งกลับมาที่
E-mail: lightingworkshop@yahoo.com

สอนโดย :
ทวิทธิ์ เกษประไพ
เริ่มทำงานแสงตั้งแต่สมัยเรียน จากนั้นทำงานกับบริษัทแสงอีกหลายบริษัทเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี ใจรักงานละครเวที เกี่ยวข้องและทำแสงให้กับละครเวทีคณะต่างๆอีกหลายคณะ ออกแบบแสงละครเวทีให้กับพระจันทร์เสี้ยวการละครตั้งแต่ปี 2538 ออกแบบแสงและเป็น Technical Director ให้กับผลงานของ B Floor เกือบทุกเรื่องในช่วงแปดปีแรก (2542-2550) ปัจจุบันเป็น Technical Director ของพระจันทร์เสี้ยวการละคร ดูแลออกแบบแสงงานเกือบทุกเรื่อง นอกจากนั้นยังออกแบบแสงและหรือ Technical Director ให้กับกลุ่มละครอื่นๆอีกหลายกลุุ่ม
ผลงานออกแบบแสง เช่น
กูชื่อ..พญาพาน, พระมะเหลเถไถ, คือผู้อภิวัฒน์, มิดะ, Crying Century, The Edge, Venus Party, Eclipse, แอนธิโกเน, ความฝันกลางเดือนหนาว, Me Moment, Left Out, วาวา The Rice Child, 1=1=1, สาวชาวนา, ช่อมาลีรำลึก, I Sea, A Midsummer Night's Dream ฯลฯ

พิธีปิดเทศกาลละครกรุงเทพ ครั้งที่ 10




ขอเชิญร่วมงานพิธีปิดเทศกาลละครกรุงเทพครั้งที่ 10 วันที่ 4 มีนาคม 2555
จะมีการแจกรางวัลและเลี้ยงปิดกันที่ห้องอเนกประสงค์ ชั้น1หอศิลป์กทม.

กำหนดการ
13.00-15.00. ขึ้นเขียงกลุ่มเสาสูง(พูดคุยประสบการณ์การทำงานของกลุ่มนี้)
15.00-17.00. ละครร่วมสมัยอะไรหว่า: การสรุปภาพรวมวงการละครเวทีบ้านเราในช่วง10ปีที่ผ่านมาของ ครูอุ๋ย พรรัตน์ ดำรุง ใครอยากรู้จักวงการละครเวทีมากขึ้นน่าจะได้ประโยชน์ค่ะ มีคนมาพูดสรุปให้ภายในสองชั่วโมง
17.00-19.00. กินดื่ม(บรรยากาศสบายๆ กินไปเม้าท์ไป ใครอยากกินอะไรเป็นพิเศษก็นำมาด้วยได้แบ่งปันกันได้ค่ะ)
19.00-21.00. การประกาศรางวัลจากชมรมวิจารณ์ละครเวทีไทย/ พิธีปิด

24 January 2012

แถลงข่าวเทศกาลละคร ครั้งที่ 10

Bangkok Theatre Festival # 10

เครือข่ายละครกรุงเทพ ร่วมกับ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย หอศิลแห่งกรุงเทพมหานคร ประชาคมบางลำพู และชมรมวิจารณ์ศิลปะการแสดง ได้ร่วมกันจัดงาน “เทศกาลละครกรุงเทพ ครั้งที่ ๑๐ Fast Forward”



เทศกาลละครกรุงเทพ เป็นเทศกาลทางด้านศิลปะการแสดงที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นอีเวนท์ที่มีการรวมกันอย่างคับคั่งของศิลปินด้านศิลปะการแสดงที่มีชื่อเสียง ซึ่งเคยได้รับรางวัลและการยอมรับในระดับนานาชาติ ตลอดจนกลุ่มผู้ที่กำลังศึกษาในศิลปะการแสดงจากสถาบันการศึกษาต่างๆ มาเปิดเวทีแสดงละครที่หลากหลายให้ผู้ชมจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ จนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเทศกาลทางด้านศิลปะที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักของผู้ที่ชื่นชอบศิลปะการแสดงมากที่สุดเทศกาลหนึ่งของประเทศไทย โดยในปีนี้จะเป็นการจัดเทศกาลละครกรุงเทพครั้งที่ ๑๐ โดยมีการจัดงานระหว่างวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ จนถึงวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

เครือข่ายละครกรุงเทพ จึงขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าว ในวันพุธที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ เวลา ๑๔.๐๐-๑๕.๓๐ น. ณ ห้องออดิธอเรียม ชั้น ๕ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (สามารถเดินจากทางเชื่อมรถไฟฟ้า BTS สถานีสนามกีฬาแห่งชาติได้) และร่วมชมการแสดงละครใบ้จากคณะเบบี้ไมม์ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มละครใบ้ชาวไทยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคณะหนึ่ง

see more:
http://www.bangkoktheatrenetwork.com/site/

12 December 2011

ประกาศแล้ว วันจัดงานเทศกาลละครกรุงเทพ ครั้งที่ 10




เทศกาลละครกรุงเทพ ครั้งที่ 10

ได้ฤกษ์จัดงานแล้ว คือ
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2555 - 4 มีนาคม 2555
สถานที่จัดงานที่เดิม คือ

สวนสันติชัยปราการ ร้านอาหารย่านบางลำพู และโรงละครในเครือข่าย
โปรแกรมการแสดง กำลังปรับปรุงจะแจ้งให้ทราบโดยเร็วนี้

โปรดติดตาม

04 December 2011

บทวิจารณ์ - อัสลาม (จาก A Day)

อัสลาม... จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ 4: นิทานที่ไม่ได้เพ้อฝัน
เขียนโดย ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง
จากนิตยสาร A Day ฉบับ เดือนพฤศจิกายน 2554


นิทานนั้นมักถูกมองว่าเป็นเรื่องราวที่เพ้อฝันเป็นจินตนาการที่เอาไว้หลอกเด็กหรือกล่อมให้เด็กหลับก่อนนอนแต่ถ้าเราล่วงรู้ “หลัง” ของนิทานแล้ว เราก็สามารถรังสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ที่น่าทึ่ง เปลี่ยนแปลงหรือสะท้อนชีวิตหรือเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ได้
นั่นก็เหมือนกับกรณีของ “อัสลาม... จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ 4” ผลงานละครเวทีเรื่องล่าสุดจากพระจันรท์เสี้ยวการละครฝีมือการเขียนบทและกำกับของ ฟารีดา จิราพันธุ์ ที่ทำให้โรงละครพระจันทร์เสี้ยวกลายเป็นโรงละครของความฝันและจิตนาการ แต่ขณะเดียวหันก็แฝงไว้ด้วย “ความจริง” อันละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง

“อัสลาม... จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ 4” เป็นละครเวทีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือ “เจ้าหญิง” ของบินหลา สันกาลาคีรี ว่าด้วยเรื่องการตามหาดาวดวงที่ 4ของเจ้าชายทันทันตามจดหมายขอความช่วยเหลือที่ตัวเองได้รับ แต่เมื่อมาถึงดาวดวงที่ 4 เขาหลับพบว่าเจ้าหญิงเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนดวงดาว เจ้าชายทันทันจึงมองหามังกรและสัตว์ร้ายที่เขาเชื่อว่าเป็นสาเหตุของความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเขาได้ฟังเรื่องราวจากตัวหญิงเสียงเศร้าแล้ว เขาก็ได้พบความจริงหลายๆ อย่างที่ไม่เคยถูกพูดหรือตรงกับความเข้าใจของคนที่ดาวดวงอื่นๆ อีกทั้งเมื่อเขาได้ใช้เวลาร่วมอยู่กัยเจ้าหญิงบนดาวดวงที่ 4 แล้วก็ยิ่งทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องราวบนดาวดวงนี้ เช่นเดียวกับความคิดของมนุษย์ที่พยายามสื่งสารเข้าใจกันมากกว่าเพียงแค่คำพูดหรือสิ่งที่มองเห็นขับต้องได้

สำหรับบางคนแล้ว เรื่องราวของ “อัสลาม... จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ 4” อาจจะเป็เนเหมือนนิทานสำหรับเด็กที่มีความสนุก น่ารักเต็มเปี่บมไปด้วยจินตนาการ แต่สำหรับหลายๆ คนที่เชื่อมต่อติดกับโลก ความจริงได้แล้ว เราก็แทบจะอินและน้ำตาไหลไปกับจุดเชื่อมโยงระหว่างดาวดวงที่ 4 และสถานที่ที่เรียกว่าประเทศไทยและชายแดนภาคใต้
อันที่จริง ละครเองก็บอกใบ้กับผู้ชมมากระดับหนึ่งในการเชื่อมโยงดังกล่ามเพราะเริ่มมาในฉากแรกของการแสดงก่อนจะเข้าเรื่องของอัสลาม ก็มีการอ่านบทสวดสรรเสริญพระเจ้าของ ศาสนาอิสลามก่อนจะนำไปสู่การร้องเพลงในภาษาถิ่นซึ่งพูดเกี่ยวกับประไทยที่เป็นดินแดนอันงดงามแต่แล้วก็จบลงที่ความรุนแรงและการสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งการเป็นเรื่องด้วยฉากนี้นี่เองกลายเป็นการปูและปรับความเข้าใจของผู้ผมตั้งแต่ต้นว่าละครกำลังพูดถึงประเด็นความจริงของสังคมมากกว่าจะมาเล่นนิทานสนุกๆก่อนนอน
เรื่องราวของเจ้าหญิงแสนเศร้าบนดาวดวงที่ 4 นั้น หลายๆ อย่างกลายเป็นเหมือนการต่อยอดของนิทานที่ละม้ายกับเหตุการณ์จริงอย่างน่าตกใจ ตั้งแต่เรื่องของการที่ดินแดนเคยสงบสุขจนมีคนมากมายเช้ามาเยี่ยมชมไม่เว้นว่างแต่แววันหนึ่งก็เกิดเหตุร้านจนอัศวินและเจ้าชายต่างๆ เข้ามาที่เวเวงนี้ก่อนที่ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ก้ไร้ซึ่งความสุขในดวงดาวที่เคยเป็นบ้าน คงเหลือไว้แต่ความเศร้าที่เกิดจากความรุนแรงและความเจ็บปวดจากการสูญเสีย

ความรุนแรงอาจจะเป็นทางเลือกในแก้ปัญหาสำหรับคนบางกลุ่ม แต่ในขณะเดียวกันมันก็สร้างบาดเผลให้กับผู้คนมากมาย ท้ายที่สุด เราอาจจะไม่รู้สาเหตุของความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดในดาวดวงที่ 4 หรือโลกใบนี้นั้นท้จริงคือทางจระกับผู้ที่อยู่ตรงนั้นและทางอ้อมกับพวกเราที่อยู่ร่วมกันในสังคม บางที่ทางออกออกที่เราจะก้าวข้ามมันไปได้คือการพยายามหาวิธีสื่อสารและเข้าใจกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าจะชนชาติใดๆการมอบความรักจากใจถึงใจเหมือนอย่างที่นิทาน “โลกของเจ้าหญิงนกบินหลายกับเจ้าชายนกบินหา” ที่ถูกเล่าในละครได้เปรียบเปรยไว้ หากแต่เราควรรีบหาเวลาที่จะ ”เล่า” มันออกไปก่อนจะไม่มีใครในโลกหลงเหลือเพื่อฟังนิทานเรื่องนั้นเช่นดาวดวงที่ 4

แม้ว่าโปรดักชันของ “อัสลาม... จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ 4” จะเป็นโปรดักชันละครขนาดกะทัดรัดในโรงละครเล็กๆ แต่วิธีการนำเสนอและใช้เทคนิคแสงที่ช่วยเติมเต็มและสร้างสีสันให้กับเรื่องได้อย่างดี ในขณะที่การแสดงแม้จะมีนักแสดงหลังเพียง 3 คนแต่ก็น่าสนใจและ น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา

จุดที่น่าสนใจอันโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของละครคือการเลือกน้องทันทัน (ด.ช. ณัษฐภัทร์ คุ้มเมธา) ที่อายุเพียง 6 ขวบมาเป็นนักแสดงหลักซึ่งต้องต่อบทนักแสดงระดับผู้ใหญ่อย่างฟารีดา จิราพันธุ์ และ คอลิด มิดำ นั้นถือว่าเป็นเสน่ห์สคัญของเรื่องลีหลังแฝงในมุมมองการเชื่อมกันระหว่างโลกความจริงและโลกนิทานนิทาน ซึ่งต้องยอมรับว่าการได้น้องทันทันมาเล่นในละครกลายเป็นจิ๊กซอว์อย่างดีที่ทำให้ละครมีส่วนผสมระหว่างประเด็นที่หนัดกหน่วงกับความฝันและความหวังที่เราเห็นได้จากความบริสุทธิ์ของเด็ก

โดยส่วนตัวสำหรับผู้เขียนแล้ว เราสามารถรับรู้ได้ว่าฟารีดาสร้าง “อัสลาม... จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ 4” ด้วยความรู้สึกที่เข้าใจและจริงใจกัยสิ่งที่ต้องการพูดอย่างลึกซึ้ง นั่งทำให้ละครกลายเป็นเป็นสื่อที่กำลังเล่าความจริงแต่อย่างใดสิ่งที่ตัวเธอเล่าและเล่นและความสามารถในการเล่า โดยสิ่งที่น่าเสียดายอย่างเดียวของโปรดักชันนี้คือการแสดงซึ่งจัดในเทศกาลศิลปะนานาพันธุ์นั้นมีเพียงแค่ 5 รอบ

ซึ่งมันคงจะดีไม่น้อยถ้ามีคนอีกมากมายได้ไปเยือนดาวดวงที่ 4 พร้อมกับเจ้าชายทันทัน และ เมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็อาจจะเข้าใจกันและกันเพื่อยุติเรื่องร้ายๆ ในสังคมได้ในเร็ววัน

28 November 2011

Aslam Review from Bangkok Post



Southern storyteller
Aslam proves that stage actress Farida Jirapun is also a playwright and a director to be reckoned with
Published: 20/10/2011
Bangkok Post / Newspaper section: Life
by Amitha Amranand


Few productions on the Bangkok theatre scene have tackled the violence in the Deep South. None that I've seen have moved beyond beating around the bush. Granted, it's a very delicate and complex subject to handle, rendered more difficult for the artists by the geographical and cultural distance, not to mention the dearth of information. Not that any of these constraints should stop an artist from finding a way to dig deeper and create a work that moves and awakens. Many seem to flock to Worapot Phanphong's Thi Kerd Hade, a collection of articles about a year spent in the Deep South, as their number one reference. The book shines with compassion and is effective as an introduction to the problems in the South, but also drips with the romanticisation of the rural and small-town Muslim ways and lacks a critical edge.


Last week at Silpa Nana Pun Festival, Pridi Banomyong Institute's annual social- and political-themed art event, Farida Jirapun staged her Aslam... Jak Jaoying Siang Sao Hang Duangdao Duang Thi Si (Aslam... From the Sad-Voiced Princess of the Fourth Star). Adapted from two short stories from Binla Sankalakiri's SEA Write-winning book, Jao Ngin, the play is so far the most full-fledged theatrical creation about the southern unrest.

Aslam began as a staged reading two years ago at the Crescent Moon Theatre's Read to Peace event, in which Farida collaborated with Colid Midam, stringing together the lyrics of John Lennon's Imagine, the Muslim greeting "Aslamu alaikum" ("Peace be upon you"), and passages from the Koran. Both artists are Muslim and have produced smaller-scale pieces on issues surrounding Muslims in Thailand over the years. At last year's Crescent Moon's Play Reading: Women Read, Farida performed 'Lok' Kong Jaoying Nok Binlai Kub Jaochai Nok Binha (The 'World' of Bird Princess Binlai and Bird Prince Binha), the last tale in Binla's Jao Ngin.


Farida also cites poems by SEA Write recipient Zakariya Amataya and Worapot's famous book as sources of inspiration. Moreover, she dug into accounts, documented by researchers and academics, of the people in the three southernmost provinces who have lost their loved ones. Yet, it's the optimism and the child-like innocence of Binla's fables that become the wings and the weight of the play. Binla, a writer from the South, spoke in his SEA Write acceptance speech of his belief in the possibility of a resolution to the southern conflicts and also in the power of tales that foster love and compassion _ children's tales that don't lie to children.

Aslam begins with a scene between an old Muslim woman in a wheelchair (Farida) and her devout grandson (Colid). Instead of a realistic dialogue, the scene unfolds like a poem, with snippets of Lennon's Imagine, the Koran, loving banters, a recipe for kao yum (a Southern dish), songs about the South and prayers. Thai, English and Arabic swirl in the air. The scene intensifies as the grandson declares his love for his land, his desire to become a sharp shooter, his romantic notion of death _ all laced with anger, devotion, and pain. Through these two characters in the first scene, Farida paves a path for a story of the silenced and forgotten that is to come.




After the loss of her grandson, the old woman is visited by Prince Tantan (Nattapat Khummetha) from another planet. He has heard the cry of a sad-voiced princess and comes to rescue her only to find a cheeky old woman instead of a beautiful young princess like in the fairy tales. Here, Farida deftly fuses Binla's fables with a realist story of one woman's loss that grows into a story of a people's struggle against injustice. There are, however, moments where the words get thrown into a jumble as the actors get caught up in the child-like actions and adventure. Prince Tantan's curiosity becomes a game and ultimately a catharsis for the old woman. Little by little, her story transforms into both of their stories. The wide-eyed world of a child meets the tear-stained one of the old woman. Like Binla's last fable in the book about two birds spinning yarns for their unborn child _their "world" _ the woman and the child from an alien planet are also building a new world through the act of remembering and reconstructing.


Farida is one of the top stage actresses, but Aslam proves that she is also a playwright and a director to be reckoned with. Although the play hesitates and shies away from truly making the audience confront the harrowing reality in the South, it doesn't use the fables to romanticise the plight of the people. Instead, the interlacing of Binla's stories with her own blossoms into a colourful and moving new creation.

The effect is gentle, yes, but the assertion to be heard, to be documented and written down, and to be remembered, is a tough and uncompromising one. As a storyteller, Farida's in full possession of the story, as if not a single word were borrowed.

see :
http://www.bangkokpost.com/arts-and-culture/art/262256/southern-storyteller

photo by : Wichaya Attamat

21 November 2011

บทวิจารณ์ละครเวทีเรื่อง "อัสลาม"


นำบทวิจารณ์ละครเวทีเรื่องล่าสุดที่ผ่านไปแล้วของเรามาลงให้อ่านกันค่ะ


เสียง ‘อัสลาม’ อันแผ่วเบา ของเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ ๔
โดย ชญานิน เตียงพิทยากร


ผมเริ่มเขียนถึงละครเวทีเรื่องนี้ หลังจากภาวะน้ำใกล้ถล่มกรุงเทพฯ กลบข่าวเหตุระเบิด 33 จุดที่จังหวัดยะลาจนเงียบกริบ – บังเอิญดีแท้ เพราะมันสอดรับกับสิ่งที่ละครพยายามจะสื่อ และภาวะ ‘ไปไม่ถึง’ ที่ละครประสบอยู่พอดี

‘อัสลาม… จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ ๔’ กำกับและนำแสดงโดย ฟารีดา จิราพันธุ์ หนึ่งในนักแสดงละครเวทีหญิงที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย ปัจจัยนี้ช่วยเรียกคนดูได้มากพอประมาณอยู่แล้ว ทั้งจากกลุ่มผู้ชมละครขาประจำและขาจร บวกกับหน้าตาของละครหลังการโปรโมตที่เน้นความน่ารักของนักแสดงเด็ก (ณัษฐภัทร์ คุ้มเมธา) ที่ทำให้เกิดกระแสปากต่อปากหลังจากรอบการแสดงผ่านไประยะหนึ่ง




ละครดัดแปลงหนังสือรวมเรื่องสั้น ‘เจ้าหงิญ’ ของ บินหลา สันกาลาคีรี ได้น่าสนใจมาก ซึ่งผมเองเคยอ่านเมื่อนานมาแล้วทำให้ไม่แน่ใจว่าแง่มุมต่างๆ เหล่านี้มีอยู่ในหนังสือของบินหลาอยู่แต่เดิมหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ดีการเล่าเรื่องความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ของฟารีดา โดยยืนพื้นบนเรื่องสั้นหลายเรื่องของหนังสือดังกล่าวก็ทำได้น่าสนใจ ทั้งการตีความเรื่องและการวางสถานะของตัวละคร





ฟารีดารับบทเป็น ‘เจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ ๔’ ผู้เป็นมุสลิม (เช่นเดียวกับตัวจริงของเธอ) ที่ได้พบกับเจ้าชายน้อยที่เดินทางมาจากแดนไกล และเป็นเพียงคนเดียวในหมู่เจ้าชายที่ไม่หลงทิศหลงทางจนได้มาพบเจ้าหญิง โดยในช่วงแรกของละครนั้นยังมีหลานชายของ ‘โต๊ะ’ (รับบทโดย คอลิด มิดำ ซึ่งเป็นมุสลิมเช่นกันกับฟารีดา) ที่ปรากฏตัวในฉากที่รุนแรงและยาวนานซึ่งอาศัยการแสดงอันทรงพลังล้วนๆ ก่อนที่ตัวละครนี้จะหายไป และกลับเข้ามาในฐานะ alter-ego ของเจ้าชายน้อย ผ่านการเล่าเรื่องที่ให้สองตัวละครสลับกันเข้าฉากไปมาอยู่ระยะหนึ่ง



ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากละครจบคือ ละครดี แต่น่าเสียดาย จำนวนคนดูเต็มโรงละครในการแสดงรอบสุดท้ายเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม เกินกว่าครึ่งหัวเราะเอ็นดูกับความน่ารักของนักแสดงเด็กเป็นหลัก แม้กระทั่งในฉากที่เสนอสารซึ่งทั้งเศร้า ทั้งรุนแรง – ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเนื้อหาที่ฟารีดาต้องการสื่อสาร ไปไม่ใคร่จะถึงคนดูเท่าไรนัก ทั้งที่สิ่งที่เธอกำลังพูดถึงคือการบอกให้ ‘คนนอก’ (ไม่ว่าจะนอกพื้นที่ หรือนอกบริบทศาสนาอิสลาม) เข้าใจสถานการณ์ ความเป็นไป และสิ่งที่พวกเขารู้สึกบ้าง


แต่ด้วยวิธีการที่เลือกนำเสนอ พลังของคำถามไม่พุ่งเข้ากระแทกใส่คนดู คำถามนี้จึงกลายเป็นคำถามที่ไม่มีใครเห็น ในระดับเดียวกับการเขียนตัวหนังสือบนกระดาษขาวด้วยลิควิดเปเปอร์ แล้วถือเดินไกลออกมาหลายเมตร มีไม่กี่คนเท่านั้นหรอกที่จะอ่านออก และเห็นว่านั่นคือคำถาม หรือคิดต่อได้ไกลถึงคำตอบ – เสียง ‘อัสลาม’ ของเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ ๔ เป็นเสียงที่แผ่วเบาเกินไป เหมือนเจ้าหญิงเกรงว่าหากพูดดังเกินไป ผู้ชมจะหาว่ากิริยามารยาทไม่งดงามสมกับเป็นเจ้าหญิง หรือกลัวคนดูจะตกใจว่าทำไมเจ้าหญิงพูดอะไรรุนแรงเช่นนี้แล้วมีแรงสะท้อนกลับไป

ขอบคุณข้อมูลจาก :
http://www.siamintelligence.com/asalam-stageplay-review/

ภาพถ่ายโดย : วิชย อาทมาท


18 November 2011

ประกาศเลื่อนเทศกาลละครกรุงเทพ 2554




นำมาประกาศกันตรงนี้อีกครั้งกับการเลื่อนการจัดเทศกาลละครกรุงเทพในปีนี้

เทศกาลละครกรุงเทพ ๒๕๕๔
‎"ประกาศอย่างเป็นทางการ จาก เครือข่ายละครกรุงเทพ"
ขอเลื่อน "เทศกาลละครกรุงเทพ ครั้งที่ 10" (ซึ่งกำหนดจะจัดขึ้น 19 พ.ย. - 4 ธ.ค. 2554)
ไปเป็นระยะต้นปีหน้า เมื่อกำหนดวันที่แน่นอนแล้ว จะแจ้งมาอีกครั้งในเร็วๆ นี้


Official Announcement from Bangkok Theatre Network (BTN)

Due to the serious huge flood in Bangkok as you have known well, The Bangkok Theatre Festival 2011 (which going to held on Nov 19 – Dec 4, 2011) has been postponed until further notice.
The new settle will be announced as soon as possible.

Sorry for the inconvenience.

We are looking forward to meet you in coming festival. Please keep in touch.





see:
http://www.bangkoktheatrenetwork.com/site/

22 September 2011

อัสลาม... จากเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่ 4

พระจันทร์เสี้ยวการละครเสนอละครเวที






"อัสลาม... จากเจ้าหญิงเสียงเศร้า
แห่งดาวดวงที่ 4"

เมื่อความหายนะ... ทำให้เรามาพบกัน...

... “หากการเริ่มต้นของความล่มสลายอุบัติขึ้น ณ ดาวดวงหนึ่ง...
เหลือสิ่งมีชีวิตเพียงสิ่งเดียวคือ เจ้าหญิงเสียงเศร้า...”


จากนี้ เธอประสงค์สิ่งใด???

แรงบันดาลใจจาก เรื่องสั้น "เจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่สี่"
จากหนังสือ "เจ้าหงิญ" ของ บินหลา สันกาลาคีรี

ฟารีดา จิราพันธุ์ เขียนบทและกำกับ
แสดงโดย
ด.ช. ณัษฐภัทร์ คุ้มเมธา (น้องทันทัน)
คอลิด มิดำ และ ฟารีดา จิราพันธุ์

แสดงวันที่ 12-16 ตุลาคม 2554
เวลา 20.00
ณ โรงละครพระจันทร์เสี้ยว
บัตรราคา 250 บาท / น.ศ. 200
จองบัตรโทร 0811160066

ร่วมแสดงในงานเทศกาลศิลปะนานาพันธุ์ จัดโดย สถาบันปรีดี พนมยงค์